23 สิงหาคม 2551

โปรดดูแล รักษาคนดี



ชมรมคนคิดถึงทักษิณ
(www.ClubThaksin.com)
23 สิงหาคม 2551
เรื่อง เรียนเชิญมาร่วมงาน รักษาคนดี รักษาประชาธิปไตย
เรียน สื่อมวลชน และ พี่ น้อง ประชาชน ทุกท่าน
ตามที่ ชมรมฯ ได้จัดแถลงข่าวไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่า ชมรมฯ
จะจัดงาน “รักษาคนดี รักษาประชาธิปไตย” ขึ้นที่บริเวณ สวนจัตตุจักร เยื้อง ตลาด อ.ต.ก.
ในวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม นี้ เวลา 9.00 – 17.00 น. ซึ่งในงานดังกล่าวนี้
จะมีการเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทั่วไป และ สมาชิก ได้ร่วมกัน
1. ลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ ของชมรมฯ ตามที่ได้แถลงข่าวไปแล้ว
2. ร่วมส่งไปรษณีย์บัตรไปยังสถานฑูตอังกฤษ เพื่อขอให้ปกป้องดูแล คนของประชาชน
นอกจากนี้ยังจะมีการเผยแพร่วารสาร รายปักษ์ “รักษาคนดี รักษาประชาธิปไตย” ซึ่งชมรมฯได้จัดพิมพ์ขึ้น
เพื่อให้สมาชิก ได้รับทราบข่าวสารของชมรมฯและที่สำคัญที่สุด ชมรมฯเพิ่งได้รับแจ้งจาก ทีมงานของท่านอดีตนายกฯว่า
ท่านจะมีจดหมายมาถึงสมาชิกชมรมฯด้วย ซึ่งเราจะนำมาเผยแพร่ในวันงาน
จึงขอเรียนเชิญ สื่อสารมวลชน และ พี่ น้อง ประชาชนที่สนใจมาร่วมงานดังกล่าว
ที่ บริเวณงาน ตามวัน เวลา และ สถานที่ดังกล่าวแล้วด้วย

ด้วยความนับถือ
ชมรมคนคิดถึงทักษิณ

อัมรินทร์ ผจญยุทธ ประธานชมรมฯ 081-9400293
สุรชาติ (pocket) ตันติธนไพศาล เลขาฯชมรมฯ 086-3354485

17 สิงหาคม 2551

อย่ายอมแพ้ ไม่งั้นจะกลายเป็นคนเลว



โดย คุณลูกชาวนาไทย
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
16 สิงหาคม 2551

บทเรียนครั้งนี้ "น่าจะสอนทักษิณ" ว่า่ "อย่ายอมแพ้เด็ดขาด" ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนเลว

ตอนนี้ "เจอยุทธการ"ทักษิณล้ม พยายามกระทืิบซ้ำ กันใหญ่โต ทำอย่างกับว่า ทำอย่างนั้นแล้ว "คนทั้งประเทศจะหันไปเกลียดทักษิณกันอย่างนั้นแหละ"

แต่อย่างว่า "เรื่องต่างๆ ที่ทำกับทักษิณ ผลมันมักออกมาตรงกันข้ามกับผู้วางแผนทำเสมอ"

ุมีแฟนพันธุ์แท้ของทักษิณหลายท่าน บ่นกับผมอย่างมากมายว่า "ทนไม่ไหวแล้ว พวกเขาทำกับทักษิณเกินไป"

ผมก็ถามว่า ในฐานะที่ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ ได้เสื่อมศรัทธาต่อทักษิณ จากการโดนเหยียบย้ำ อย่างรุนแรง จนไม่น่าเืชื่อว่า "ศัตรูที่คิดว่ามี เป็นผู้มีจริยธรรมสูง" อวดอ้างจริยธรรมทั้งหลาย จะกระทำต่อศัตรูของตนได้ถึงเพียงนี้

ทุกคนตอบกับผมเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันที่จะเสื่อมศรัทธา หรือความรักต่อทักษิณไปได้ ด้วยการกระทำแบบเลวๆ ต่อทักษิณเช่นนี้

ผมก็เลยบอกว่า "นั้นไง" การกระทำของพวกนั้น ก็ไม่ได้บรรลุเป้าหมายแต่อย่างใด เพราะไม่สามารถแม้แต่น้อย ที่จะทำให้คุณลดศรัทธาลง มีแต่สงสารและเห็นใจ เจ็บแค้นใจมากขึ้น

ดังนั้น เป้าหมายของแผนการณ์นี้ ก็ไม่บรรลุผลสำเร็จแล้ว แต่กลับสร้างความเห็นใจ และสงสารมากยิ่งขึ้น

การกระทำอย่างนี้นอกจาก "ทำร้ายตัวของทักษิณ" ไม่ได้แล้ว ยังทำร้าย "ศรัทธาของคนที่รักทักษิณลงไม่ได้" แต่ผลักให้ทักษิณเป็น "สัญญลักษณ์" ที่สูงส่งมากขึ้น อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า เลยผ้าพันคอไปแล้ว

บทเรียนครั้งนี้ สอนให้ทักษิณว่า จงอย่ายอมแพ้ศัตรูทางการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะการยอมแพ้นั้น ศัตรูจะต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้เราเป็นคนเลวให้ได้

ก็เหมือนกับที่ "พระเจ้าตากสินมหาราช" วีระบุรุษผู้กู้ชาติโดนนั่นแหละครับ หาว่า เสียจริต เสียสติไปโน้น สมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีสื่อ คนก็เชื่อกันไป แต่สมัยนี้ยากนัก ที่คนจะเชื่อกันได้ง่ายๆ อย่างนั้น อย่างน้อยสมัยนี้ ก็เอา Thaksin ไปสำเร็จโทษโดยท่อนจันทร์ไม่ได้นั่นแหละครับ

ตอนนี้ก็ปล่อยให้ ศัตรูระบายความแค้นด้วยความสะใจไปก่อน อำนาจรัฐที่ไม่ได้มีที่มาจากศรัทธาของประชาชน แต่มาด้วยความฉ้อฉลนั้น อยู่ไม่ได้นาน สุดท้ายมันก็ต้องพังทะลายลงอย่างแน่นอน

ยุคจริยธรรมบกพร่องสองมาตรฐาน ยุคที่เรียกร้องจริยธรรมที่ตนเองไม่มี แต่พยายามบังคับให้คนอื่นมี อะไรมันก็เกิดขึ้นได้

แต่โลกที่พิกลพิการ ไม่ยืนอยู่บนความจริงนั้น ย่อมอยู่ไม่ไ่ด้นานครับ อำนาจนอกระบบมักจะไม่มีทางอยู่ได้นาน เมื่อมีคนเกี่ยวข้องจำนวนมาก มันก็ไม่มีทางที่จะควบคุมทุกคนเอาไว้ได้

ขบวนการตบทรัพย์อย่างถูกกฎหมาย




โดย คุณ minimalist
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
16 สิงหาคม 2551

ขบวนการตบทรัพย์อย่างถูกกฎหมายของ คมช. คตส. และพรรคพวก กรณีสินบน 25 %

คมช.รัฐประหาร ยึดอำนาจ แต่งตั้ง คตส.สตง.ปปช.ขึ้นมา คนพวกนี้ ก็ตั้งสำนวนคดี ข้อหาร่ำรวยผิดปกติ เพื่อยึดทรัพย์ครอบครัวอดีตนายกรัฐมนตรี โดยคนของ คมช.ที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ที่จะเอาผิด แล้วดูแลสำนวนไปทุกขั้นตอนโดยคนกลุ่มเดียวกัน จนไปถึงศาล เรียกได้ว่า คุ้มครองสำนวนไปจนถึงจุดที่อยู่ในเขตสังหาร... ล้อมหน้าล้อมหลังแบบไม่ให้หลุดรอด หรือมีการถอดถอนสำนวนได้ โดยคนนอกที่ คมช. ไม่ได้ตั้งขึ้นมา ...เช่น อัยการสูงสุด ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสำนวนในขั้นสุดท้าย

เพื่อแก้ปัญหาคนนอกคัดค้านสำนวนนี้ จึงให้อำนาจ คตส.ส่งฟ้องเองได้ ..เรียกได้ว่า มั่นใจในความปลอดภัยของสำนวน จนไปถึงเขตสังหาร ....นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ในรัฐธรรมนูญมาตรา 309 จะเขียนรับรองอำนาจของตนไว้อีกทางหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เป็นความถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญที่ตนเองร่างขึ้นเองนี้ด้วย ...ป้องกันศาลตีกลับสำนวนในขั้นตอนสังหาร เหมือนสมัยปฏิวัติของ รสช.

หลังจากนั้น ก็จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายในแล้วครับ ที่จะรับไม้สังหาร ...แน่นอนว่า ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ...แต่หลังม่านบัลลังก์นั้น ประชาชนทั่วไป สังคมมองไม่เห็น เพราะไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ หรือรู้เห็นได้ ในกระบวนการทำงานของระบบการตัดสิน การเลือกคนมาทำหน้าที่พิพากษา ...

จึงไม่แปลก ที่ประชาชนจะสงสัยได้ เพราะมองไม่เห็น ..แต่กระบวนการต้นน้ำ ที่สำเร็จไปทุกขั้นตอนแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเข้าเขตที่ใครก็มองไม่เห็น ถ้าไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องฝ่ายใน ..ทำให้กระบวนการตบทรัพย์ของครอบครัวทักษิณเป็นจริงได้ เพราะ มีสินบนล่อใจ จูงใจที่จะแบ่งปันกันได้ถึง 25 % ของทรัพย์สินที่ถูกยึด

หากทรัพย์สินนั้นถูกยึด 7.6 หมื่นล้าน สินบนก็ประมาณ 1.9 หมื่นล้าน ...หากทรัพย์ถูกยึด 1 หมื่นล้าน สินบนก็ 2.5 พันล้านบาท... แน่นอนว่าไม่น้อยครับ... กับสินบนมหาศาลจำนวนนี้... หลักร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แค่นี้มันก็เอาแล้วครับ ...คุ้มครับ ที่จะแบ่งสันปันส่วนกันคนละ สิบล้าน ยี่สิบล้าน ร้อยล้าน ตามน้ำหนักการลงแรง ....จากสินบนก้อนมหาศาลนี้ ...โปรดติดตามดูอย่ากระพริบตา ทีเดียวเชียวครับ...

ตอนนี้ก็ชงกระแสความผิดของคุณทักษิณบนสื่อ ชี้นำเพื่อให้คนคุ้นหู และทำให้การตัดสินนั้น คนไม่ต่อต้าน หรือสงสัย เพราะมันสร้างกระแสว่า สังคมก็คิดอย่างเดียวกันนั้นมานานแล้วว่า ต้องเป็นอย่างนี้ ผ่านสื่อทุกวัน ผ่านขบวนการชุมนุมประท้วง ...โดยไม่สงสัยกระบวนการตบทรัพย์ ที่ดำเนินการกันมาอย่างเป็นระบบ...

นี่คือรางวัลก้อนสุดท้าย และก้อนโตที่สุด จากการลงมือลงแรง ร่วมกันยึดอำนาจ ...19 กันยายน 2549

สินบน 25 % ออกระเบียบเองโดย คตส. ซึ่งตั้งโดย คมช.

คิดดูแล้วกันครับว่า... ออกระเบียบสินบนมา เพื่ออะไร... ทั้งที่ก่อนปฏิวัติบอกว่า มีข้อมูล มีหลักฐานพร้อมที่จะเอาผิดทักษิณ กล่าวหาสารพัด สื่อเอามาแฉได้ทุกวัน ..จนมันยึดอำนาจ คมช. มีอำนาจรัฐาธิปัตย์ ให้อำนาจ คตส. ค้นทุกหน่วยงาน ต้องการเอกสาร หลักฐานอะไรจากหน่วยงานรัฐ จากใคร คตส.มีอำนาจโดย คมช. ในการดำเนินการทำได้หมด ..ซึ่งกระบวนการปกติยังทำแบบนี้ไม่ได้

คตส.มีอำนาจมากมายขนาดนั้น ยังต้องออกระเบียบสินบน ล่อใจ 25% อ้างว่า เพื่อให้มีคนกล้ามาให้ข้อมูลกับ คตส.ในการเอาผิด ....มันขัดแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง กับการให้เหตุผลของการออกระเบียบนี้... กับพฤติกรรมที่ผ่านมา และอำนาจที่ตนเองมีอยู่ล้นพ้น เป็นมือขวาของคณะยึดอำนาจ ในการหาความผิดมารองรับการปฏิวัติ

นี่หล่ะครับ ...ต้นไม้พิษ ผลไม้พิษ...ใครไม่มีภูมิต้านทาน รับประทานเข้าไป ก็ซวยเหมือนท่านทักษิณ...

ใครมีภูมิต้านทาน เป็นพวกมันอยู่แล้ว ก็ได้รับยาแก้พิษ ...เมื่อรับประทานเข้าไป ก็มีภูมิคุ้มกัน แทนที่จะเป็นพิษก็จะเป็นได้ประโยชน์แทน...

รัฐธรรมนูญ กับ ศาล



โดย คุณ ประดาบ
ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท
17 สิงหาคม 2551

มีข้อพึงสังเกต ที่มิอาจจะข้ามไปได้ สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย ในกำมือตุลาการภิวัฒน์ ดังเช่นกรณีนี้...
1. รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 30 เขียนไว้ว่า... บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายและสุขภาพ สถานะของบุคคล สถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา อบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้

2. วันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาลงโทษ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ข้อหา ร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ว่า “..จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่ว ๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี สมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสาม กลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้ง ๆ ที่จำนวนค่าภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบายหรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 คนละ 3 ปี...”

ด้วยเหตุที่ ศาล เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และ ต้องปฏิบัติหน้าที่ อำนวยการความยุติธรรมแก่บุคคลทั่วไป ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ผมจึงมีเหตุที่จะต้องตั้งข้อพึงสังเกต ดังนี้....

1. นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เป็นผู้กระทำความผิดข้อหาร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ที่ศาลพิพากษาจำคุก โดยไม่รอลงอาญา และจัดเป็นการกระทำผิดร้ายแรง เนื่องจาก คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นผู้มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม สูง

ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ชัดเจนว่า ไม่สามารถนำเหตุที่บุคคล มีสถานะทางเศรษฐ กิจและสังคม มาเป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติได้ แต่ศาลได้นำ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มาเป็นเหตุแห่งการลงโทษ และกล่าวย้ำเหตุนี้ติดต่อกันถึง 5 ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของคำพิพากษาของศาล ต่อกรณีนี้ อย่างชัดแจ้งและเปิดเผย

2. หากนำกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเปรียบเทียบกับ กรณีนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล ภริยาของนายจรัล ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฉ้อโกงที่ดินของบุคคลอื่น

พึงต้องตั้งคำถามต่อศาลว่า เหตุใดนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล จึงได้รับความเมตตาจากศาล ให้ได้รับค่าชดเชยการพัฒนาที่ดิน เป็นเงิน 10 ล้านบาท จากเจ้าของที่ดิน ซึ่งถูกนางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล ฉ้อโกง และศาลก็พิพากษาว่านางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล มีความผิดข้อหาฉ้อโกง จริง ทั้งๆ ที่นางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล เป็นภริยานายจรัล ภักดีธนากุล ข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ สูง ซึ่งนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่ว ๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี สมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่นางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล กลับร่วมกันกระทำการฉ้อโกงบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อตนเอง อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและเจ้าของที่ดิน

3. หากนำกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเปรียบเทียบกับกรณีท่านผู้หญิงจิตราวดี จุลานนท์ ภริยา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง สร้างบ้านพักตากอากาศ และจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ยอมย้ายออก ไม่ยอมคืนที่ดินให้แก่รัฐ แต่กลับยักย้ายถ่ายเทที่ดินเขายายเที่ยงไปให้แก่บุตร ครอบครองต่อ ราวกับว่า เป็นที่ดินของตนเอง มิใช่ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่รัฐ ได้แจ้งแล้วว่า เป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของ และมีผู้แจ้งความดำเนินคดีต่อท่านผู้หญิงจิตราวดี จุลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ไว้แล้ว

กระบวนการยุติธรรม ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัย การ และ ศาล จะใช้มาตรฐานเดียวกันกับกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หรือไม่ เนื่องจากท่านผู้หญิงจิตราวดี จุลานนท์ เป็นภริยาแม่ทัพภาคที่ 2 ภริยาผู้บัญชาการทหารบก ภริยาองคมนตรี และ ภริยานายกรัฐมนตรี มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง สามารถซื้อที่ดินสร้างบ้านพักตากอากาศ ที่ใดก็ได้ และ การคืนที่ดินที่ครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายให้แก่รัฐ ก็มิได้กระทบต่อฐานะทางเศรษฐกิจของท่านผู้หญิงจิตราวดี แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ในขณะที่ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาตินั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้ หรือ นปม.ในเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งครอบคลุมป่าสงวนแห่งชาติเขายายเที่ยง ด้วย จึงมิอาจจะอ้างได้ว่า ไม่รู้ว่าพื้นที่ที่ครอบครอง เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ท่านผู้หญิงจิตราวดี จุลานนท์ จงใจที่จะบุกรุกและครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจว่า เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ กล่าวได้ว่ามีเจตนาที่จะฉ้อโกงที่ดินของรัฐ อย่างชัดแจ้ง

กรณีเช่นนี้ จึงต้องติดตามดูว่า พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และ ศาล จะตัดสินอย่างไร หลังจากที่ ป.ป.ช. ปฏิเสธที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ท่านผู้หญิงจิตราวดี จุลานนท์ กระทำความผิดตามกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ไม่เป็นธรรมต่อสังคม และระบบการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติ และไม่ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ของตนเอง

คำถามอันเกิดจากข้อสังเกต 3 ข้อ นี้ เป็นคำถามที่น่าจะทำให้ผู้ใช้อำนาจตุลาการ ที่มีความสุจริตใจ เที่ยงตรง ซึ่งอยู่นอกเครือข่ายตุลาการภิวัฒน์ ต้องกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ แต่หากไม่ตอบ ก็จะทำให้ข้อกล่าวหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ได้รับความเชื่อถือ เห็นคล้อยตามจากประชาชน ทั้งในประเทศ และชาวต่างชาติ ที่กำลังจับจ้องมาที่กระบวนการยุติธรรม และ ศาลของประเทศไทย อย่างไม่วางตา ด้วยความคลางแคลงสงสัย ว่าข้อกล่าวหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นความจริงเช่นนั้นหรือ?

การที่ศาลได้สร้างบรรทัดฐาน นำฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นปัจจัยหนึ่ง ในการพิจารณาลงโทษผู้กระทำความผิด และให้ถือว่า หากผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม สูง กระทำความผิด จะถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง ไม่มีเหตุให้ต้องบรรเทาโทษ ต้องลงโทษเด็ดขาด ไม่รอการลงโทษ เพราะถือว่า ไม่ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ของตนเอง เช่นนี้แล้ว

ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ที่ศาลจะต้องใช้บรรทัดฐานที่สร้างขึ้นนี้ เป็นปัจจัยในการพิจารณาการกระทำความผิดของบุคคลอื่น ด้วย โดยเฉพาะผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม สูง มิเช่นนั้นแล้ว ศาลก็คงไม่พ้นข้อกล่าวหา “เลือกปฏิบัติ” ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 ดังที่ผมได้ยกมากล่าวอ้างไว้ข้างต้น ………………………………………….

หมายเหตุ : กรณีพนักงานสอบสวน ให้ประกันตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ ไม่ให้ประกันตัว นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดาร์ ตอปิโดร์” ทั้งๆ ที่ถูกกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน ว่ากระทำความผิด ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหมือนกัน และมีพฤติกรรมการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน ก็จัดว่า เป็นการเลือกปฏิบัติ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 เช่นเดียวกัน

แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน ที่กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ

ปล. ผมไม่ได้หายไปไหน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ยังคงห่วงหาอาทรเพื่อนร่วมทางที่มีหัวใจดวงเดียวกันเสมอมา และพยายามค้นหาแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่เสมอ ไม่ได้ละทิ้งภารกิจตามอุดมการณ์ ไม่ได้ทอดทิ้งเพื่อร่วมทาง และ ไม่ได้เล่นตัว จนต้องมีเสียงถามหา หากแต่ต้องการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคนในครอบครัว “ชินวัตร” ว่า จะไม่มี Hi-thaksin และ ประดาบ อีกต่อไป

แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองดำเนินมาไกลถึงเพียงนี้ การทำงานของผม ก็คงเป็นไปในฐานะนักสังเกตการณ์อิสระคนหนึ่ง มิใช่ในฐานะ Hi-thaksin ที่อาจจะนำความเดือดร้อนไปถึงครอบครัว “ชินวัตร” ดังเช่นที่กังวลกัน อีก

แล้วพบกันอย่างสม่ำเสมอ ที่นี่ ที่เดียว

ศาสตร์แห่งการลี้ภัย




โดย คุณ จักรภพ เพ็ญแข
16 สิงหาคม 2551

ในราชอาณาจักรเยี่ยงนี้ การลี้ภัยเป็นหนทางหนึ่งในการถนอมตัวไว้ สำหรับการเผชิญหน้าที่ยาวไกล

การ “ลี้ภัย” ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จึงถือเป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติของวงจรนี้ ถ้าวงจรนี้หมดไป และมีวงจรใหม่เข้ามาแทนที่ ก็อาจจะต้องใช้หลักใหม่ที่ไม่ควรมีใครต้องลี้ภัย เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ตรงกันอีกต่อไป

แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง คงคล้ายกับที่คุณทักษิณเขียนจดหมาย “ลา” ไว้ด้วยลายมือในตอนหนึ่งว่า “...วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม...” นั่นล่ะครับ

ดีที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะอย่างน้อยคนไทยจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มหูผึ่งกับคำว่า “การลี้ภัย” หรือ “ผู้ลี้ภัย” ทั้งที่เคยเกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน จนคนไทยต้องหลบหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ แต่เราก็ไม่ได้สนใจนักกับคำๆ นี้ ทั้งที่มันสะท้อนความจริงอันเจ็บปวด เกี่ยวกับตัวเราได้อย่างสะใจ

คราวนี้จะได้รู้กันเสียทีว่า การลี้ภัยเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในยุคต่ำกว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับคนที่อยากจะตื่นขึ้นจากมนต์สะกดบางอย่าง ลองมาทำความเข้าใจกันเสียหน่อยปะไร

เริ่มจากวิกิพีเดียก็ไม่เลว เพราะเขาไปประมวลความหมายมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้หลายแหล่ง

เขาบอกว่า สิทธิในการลี้ภัย (right of asylum) ถือเป็น “แนวทางโบราณในกระบวนการยุติธรรม ที่ถือว่าบุคคลที่ถูกขู่เข็ญคุกคามจากความคิดเห็นทางการเมือง หรือจากความเชื่อทางศาสนาที่ไม่ตรงกัน ในประเทศของตนเอง สามารถจะได้รับความคุ้มครองจากประเทศอื่น รัฐอื่น และศาสนสถานอื่นได้ แต่อย่าเอาเรื่องการขอลี้ภัยทางการเมือง ไปสับสนกับกฎหมายผู้อพยพในโลกยุคใหม่ ที่ต้องรับมือกับผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากๆ การลี้ภัยในความหมายนี้เป็นเรื่องของคนแต่ละคน และจะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป แต่ผู้ลี้ภัยสองประเภทนี้ อาจทับซ้อนกันได้ เพราะผู้อพยพจำนวนมากๆ อาจขอลี้ภัยแยกเดี่ยวเป็นบุคคล ด้วยเหตุผลข้างต้นด้วยก็ได้...”

ในแง่ความเป็นมานั้น “สิทธินี้ มีรากเหง้ามาจากธรรมเนียมในโลกตะวันตก ถึงจะโยงกลับไปได้ ถึงอียิปต์โบราณ กรีกโบราณ และอาณาจักรฮิบรูว์ แต่คนอย่างเดสกาส์ ก็ลี้ภัยไปเนเธอร์แลนด์ วอลแตร์ไปอังกฤษ ฮ็อบส์ไปฝรั่งเศส (ติดตามด้วยขุนนางอังกฤษอีกเป็นจำนวนมาก ในระหว่างสงครามกลางเมืองของอังกฤษ) ทุกรัฐให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ถูกลงทัณฑ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในศตวรรษที่ 20 เข้ามากระทบสิทธิในการขอลี้ภัยเข้าอย่างจัง ถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ยังยอมรับว่า รัฐไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ที่จะส่งตัวผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร ไปให้กับประเทศที่ร้องขอมา เพราะส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย คือ ทุกรัฐ มีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการดูแลจัดการกับคนทุกคน ที่อยู่ในดินแดนของตนก็ตาม...”

เอาเฉพาะแค่นี้ เราจะเห็นอะไรสว่างขึ้นมากทีเดียว การอยู่รวมกันเป็นโลกนั้น หมายความว่า ต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของโลกด้วย หากแผลงฤทธิ์ขึ้นมา เป็นเยอรมนีภายใต้ฮิตเลอร์ อิตาลีภายใต้มุสโสลินี หรือญี่ปุ่นภายใต้สมเด็จพระจักรพรรดิองค์เก่า ก็จะถูกปราบปรามด้วยกำลัง และผู้ชนะ ก็คือผู้ที่วางกฎเกณฑ์ทุกอย่างว่า อะไรผิดอะไรถูก รวมทั้งเขียนประวัติศาสตร์ให้ตนเป็นฝ่าย “เทพ” ด้วย

หลักการนี้ เขายอมรับว่า การลี้ภัยเป็นวิธีการอยู่ร่วมโลกกันอย่างหนึ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณก่อนจะมี “รัฐชาติ” มาโน่นแล้ว ใครคิดจะประดิดประดอยกันในเมืองไทยว่า เรื่องนี้เป็นแนวคิดใหม่ของฝรั่ง พี่ไทยไม่จำเป็นต้องกระทำตามนั้น ก็ขอให้รู้ในบัดนี้ว่า เชยเต็มที

เขาถือว่า คนแต่ละคนมีสิทธิจะเลือกที่อยู่ ที่ตนเห็นว่า จะปลอดภัยและไม่ถูกข่มขู่คุกคามได้เสมอ และรัฐที่เขาเห็นแตกต่างจากรัฐนั้นๆ ก็มีสิทธิดูแลคนที่ “หนี” หรือ “ลี้ภัย” มาด้วย

ต้องเน้นย้ำกันให้มากๆ คือการลี้ภัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม เราท่องกันว่า กระบวนการยุติธรรมของเรามี 4 ขั้นคือ ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ และก็จบสิ้นขั้นตอนกันแต่เพียงนั้น ทุกขั้นตอนที่ว่ามานี้ กระทำการในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นด้วย ภายหลังเมื่อสังคมพัฒนาขึ้น เราก็เริ่มมองละเอียดเข้าไปที่สื่อมวลชนบ้าง ครอบครัวบ้าง การคุมประพฤติ และการฟื้นฟูผู้กระทำผิดต่างๆ บ้าง ในฐานที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็นับว่า ทำให้เกิดเยื่อใยทางสังคม และได้ “ธรรม” มาเป็นข้อ “ยุติ” มากขึ้น แต่การลี้ภัย ทำให้เราต้องมองกระบวนการยุติธรรมให้กว้างออกไปอีก

นั่นคือ เมื่อเขาผ่านขั้นตอนนั้นแล้วพบว่า สิ่งที่มีอยู่ ให้ความยุติธรรมกับเขาไม่ได้ คนในประเทศเป็นจำนวนมาก ก็เห็นเช่นกันว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาย่อมมีสิทธิที่จะเดินออกไปจากขั้นตอนของการราชทัณฑ์ ซึ่งเท่ากับเดินออกนอกเขตแห่งอำนาจรัฐนั้นๆ ได้

นี่คือปรัชญาใหญ่ ที่นักประชาธิปไตยผู้รักความยุติธรรมควรเข้าใจ ไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายใจ เมื่อถูกตราหน้าว่า “หนี” และไม่ต้องตกใจ เมื่อถูกผู้มีอำนาจเดิม ตามมาราวีด้วยการทำให้กลายเป็นผู้ร้ายที่กำลังหลบหนี (fugitive) เพราะเป็นสิทธิแท้ๆ อย่างหนึ่งของมนุษย์ ผู้มิใช่พรหม

คุณทักษิณเอง ก็พูดชัดในจดหมายว่า ไม่เคยคิดที่จะเลี่ยงการขึ้นศาล และกลับมาเมืองไทย ก็เพื่อจะขึ้นศาล เพื่อจะสู้คดีตามกฎหมายระบิลเมือง แต่แล้วเมื่อพบว่า กระบวนการต่างๆ มิได้เป็นไปตามที่คาดหมาย และมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับความยุติธรรม คุณทักษิณก็เลือกที่จะเดินออกจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ก็เท่านั้น

เรื่องแบบนี้ ถ้าไปเอาตำนานเก่าๆ ของนักโทษ ที่ชอบพูดจนติดปากว่า “เขาหาว่า” มาเสียดสีว่า คนผิดย่อมจะไม่อยากยอมรับผิด ก็คงจะตลก เพราะกรณีของคุณทักษิณ มีคนไทยเป็นสิบๆ ล้านจับตาดูอยู่ทั่วประเทศ ถึงจะไม่เข้าใจในเล่ห์กลอันสลับซับซ้อนทั้งหมด แต่ก็พอจะสรุปกับตัวเองได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันขาดความเป็นธรรมอยู่มาก

จะมีโกรธหรือน้อยใจอยู่บ้าง ก็คือ คุณทักษิณหลงเชื่อเขามานานเกินควร

เอาเป็นว่า การลี้ภัยทางการเมืองของคุณทักษิณและครอบครัวเที่ยวนี้ ไม่ต่างอะไรจากเหตุการณ์หลังการรัฐประหาร พ.ศ.2490 ที่จะเอาชีวิตท่านปรีดีให้ได้ หรือไม่ต่างอะไรกับการยุให้จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม จนเจ้าตัวต้องเตลิดไปเขมร และไปตายที่ญี่ปุ่น

แต่ส่วนที่เพิ่มมาอย่างมาก คือสายตาของคนทั้งหลาย ที่เขาเฝ้ามองอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านความอัศจรรย์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เรื่องนี้ จะมีฉากจบที่ไม่เหมือนความอาดูรของท่านปรีดี หรือจอมพล ป.

ภาพยนตร์เพิ่งฉายได้แค่ค่อนเรื่องเท่านั้นเองครับ ต้องกลั้นดูไปจนจบ แล้วจะได้รู้เองว่า ท้ายที่สุด ใครจะไม่มีแผ่นดินอยู่อย่างถาวร

15 สิงหาคม 2551

การลี้ภัย...ทางการเมือง





อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์มาจากต่างประเทศเพื่อยืนยันการตัดสินใจจะไม่กลับเมืองไทยอีกเป็นเวลานาน และแสดงความหวังว่าวันหนึ่งตนจะมี "วาสนา" คืนสู่แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง

ในแถลงการณ์ได้แสดงความรักราชบัลลังก์ และความรักชาติบ้านเมืองไว้อย่างชัดเจน บัดนี้ก็เป็นข่าวทั่วไปหมดแล้วทั้งในประเทศและทั่วโลก

คำถามที่ติดตามมาคือ คุณทักษิณและครอบครัวจะขอลี้ภัยทางการเมืองอย่างที่เรียกตามศัพท์ขององค์การสหประชาชาติว่า asylum หรือ asylum seeking หรือไม่

เรื่องนี้เป็นสิทธิของประเทศนั้นๆว่าเขาจะให้หรือไม่ให้ ยกเว้นว่าผู้ขอจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองมีภัยอันตรายที่กระเทือนต่อสิทธิขั้นพื้นฐานขนาดอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนไม่ได้อีกต่อไป ส่วนอะไรคือ "ภัยอันตราย" จนเกิดสิทธิที่จะขอลี้ภัยได้นั้น องค์การสหประชาชาติเขาก็มีกฎเกณฑ์อยู่

ยังจำได้ว่าเมื่อคุณทักษิณกลับมาเมืองไทยครั้งแรกภายหลังการรัฐประหาร และก้มลงจูบแผ่นดินนั้น ท่านได้พูดเอาไว้ชัดเจนว่าตัดสินใจกลับบ้านเพราะเห็นว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยแล้ว พร้อมสู้คดีความทุกเรื่องที่ถาโถมเข้าใส่ตัวและครอบครัว

ไม่ถึงกับพูดหรอกครับว่า ความยุติธรรมในเมืองไทยมันจะเกิดขึ้นตามการเลือกตั้ง แต่คนที่เป็นอารยชนแล้วเขาจะอนุมานเองว่าความยุติธรรมกับประชาธิปไตยนั้นไปด้วยกัน

ปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่นานเดือน คุณทักษิณตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศแล้วจะไม่กลับมาอีกในเร็ววันนี้

จะว่ากลัวเกรงอิทธิพลอะไรของเขา ประเภทกลัวเขาจะฆ่าทิ้งหรือกลั่นแกล้งรังแกด้วยวิถีทางใดๆก็ตามคงจะไม่ใช่ เพราะถ้ากลัวอย่างนั้นก็ไม่มาเสียแล้วตั้งแต่แรก

เหตุผลอย่างมนุษย์ธรรมดาจะพึงมีในยามนี้จึงเหลือเพียงข้อเดียวนั่นคือ เกิดความผิดหวังต่อสิ่งที่ตนเคยเชื่อว่าเป็นความงาม ความดี และความจริง

มาด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้น แล้วก็พบว่าความงาม ความดี และความจริง ที่แท้แล้วคือความอัปลักษณ์ ความสามานย์ และความเท็จ

เมื่อการณ์เป็นไปถึงขนาดนี้จะนั่งเซื่องๆให้เขากระทำกับตนเองเช่นนั้นได้อย่างไร
การตัดสินใจอยู่ในมาตรฐานของโลกและความเป็นสากลจึงเป็นการพิจารณาโดยแยบคายและถูกต้อง
รวมทั้งชี้ว่าคนอย่างคุณทักษิณนั้นปรับตัวเป็น ไม่จมปลักอยู่กับความเชื่อเดิมจนถูกหลอกซ้ำซาก

ประเด็นสำคัญคือ คุณทักษิณจะต้องส่งสัญญาณสู้และเตรียมความพร้อมต่อสงครามใหญ่ อย่าให้ความเงียบเข้ามาเชื่อมประสานระหว่างตัวเองและผู้สนับสนุน มิฉะนั้นจะเกิดความท้อแท้ผิดหวังและสูญเสียผลด้านเครือข่ายขึ้นมาอย่างไม่ควรที่

ทำให้รู้เลยครับว่าการไม่กลับเมืองไทยแปลว่าสู้

การยอมกลับเมืองไทยทั้งที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นั่นแปลว่ายอมแพ้ยกธงขาว
เอาให้ชัดว่าไม่มานั่นแหละคือสู้ ให้มันรู้กันไปเสียทีว่าบ้านเมืองนี้ถูกขับดันจากโมหะจริตได้ถึงขนาดไหน

คนข้างในเขาจะได้เตรียมตัวถูกและเตรียมตัวทัน
เงินทุนก็ให้เขายึดไปเถอะครับ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะนี้มันเกินกว่าการใช้เงินทำสื่อและอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ทั้งหลายเหมือนตอนหาเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ประชาชนเขาจะออกมาเองได้ครับ

การเมืองไทยในระยะนี้จะเป็นการวัดดวงว่าผู้นำที่สั่งยึดอำนาจซ้ำซากอยู่ในประเทศจนมั่นใจว่าพื้นที่นี้เป็นของตนทั้งหมด และจะไม่ยอมแบ่งใครเลยแม้แต่น้อยนิด กับผู้นำที่ไปอยู่ในกระแสโลกและมีความเป็นสากล ใช้พื้นที่ที่กว้างกว่าของโลกในการเตรียมประเทศให้หลุดพ้นจากควายตัวเดิมที่ลากจูงประเทศไปช้าๆ ในอัตราหอยทากเดินนั้น ใครจะเข้าวินในท้ายที่สุด

จะแก้ปัญหาของห้องที่อบอวลไปด้วยยาพิษขนาดที่ใครเข้ามาก็ตายนั้น คนที่แก้ต้องออกไปยืนนอกห้องให้ปลอดภัยเสียก่อน

วางแผนการอันสุนทรระหว่างพักตากอากาศนั้นดีนักแล

/////////////////////////

เลือกคบไม่เลือกข้าง

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ประจำวัน อังคาร ที่ 12 สิงหาคม 2008

คนล้ม...อย่าข้าม





ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ถ้านับย้อนไปเมื่อปี 2544 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีการเมืองไทยเปลี่ยนโฉมหน้าดูทะมัดทะแมงขึ้น จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างกระแสฟีเวอร์ ได้สำเร็จด้วยนโยบายประชานิยม และต่อมาสามารถนำชัยชนะในการเลือกตั้ง ชนิดถล่มทลาย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

พรรคการเมืองเข้มแข็งรัฐบาลมีเสถียรภาพกว่าทุกยุค

ขณะนั้นพรรคการเมืองแทบจะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นสถาบันได้ แนวโน้มการพัฒนาทางการเมืองก้าวหน้าไปเฉกเช่นเดียวกับประเทศ ที่ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาแล้ว พรรคการเมืองมีไม่มากแต่เข้มแข็ง

การพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปแบบก้าวกระโดด แทบจะเรียกได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างมาตรฐานของความเป็นผู้นำประเทศไว้สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำที่ผ่านมา

ทุกคนปฏิเสธไม่ได้กับความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ระยะนั้นไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะหยิบจับอะไรก็ดูดีไปหมด แต่โลกใบนี้มี 2 ด้านเสมอ มีขาวก็มีดำ มีดีก็มีเลว มีรักก็มีเกลียด มีคนได้ประโยชน์ก็มีคนเสียประโยชน์

ดังนั้น อีกมุมหนึ่งของการเมืองยุคทักษิณถูกยกขึ้นมาจับผิด เกิดข้อเปรียบเทียบจากความเข้มแข็งของพรรคการเมืองเป็นเผด็จการในสภา การพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด กลายเป็นการคอรัปชันเชิงนโยบาย จากนโยบายประชานิยม กลายเป็นการมอมเมาประชาชน

จากคนเก่งเป็นคนโกงในพริบตา

ตั้งแต่นั้นมาก็เกิด ระบอบทักษิณ และกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ ซึ่งเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองจนบัดนี้ก็ยังคงคิดไม่ตกว่าระบอบทักษิณเกิดขึ้นได้อย่างไร

เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย การชุมนุมประท้วงขับไล่ระบอบทักษิณมาปะทุเมื่อมีการขายหุ้นชินคอร์ป คนเริ่มไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณมากขึ้น ประกอบกับ การดึงเอาเรื่องการละเมิดสถาบันมาเป็นตัวช่วยเร่ง

รัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจ

แม้เมื่ออิสรภาพระบอบประชาธิปไตยของบ้านเราถูกปลดปล่อย แม้จะผ่านอุปสรรคขวากหนามจนสามารถตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าการล้มระบอบทักษิณจะยุติลงตรงข้ามค่อยแทรกซึมและปะทุอีกครั้ง

จนถึงวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องตัดสินใจลี้ภัย

แถลงการณ์ที่ขอคืนความเป็นธรรมมี 3 สิ่งที่ระบุไว้ชัดเจนคือ 1. มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ทุกพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ 2. ถึงแม้ไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบแต่ขอยืนยันว่าไม่ใช่คนเลวอย่างที่ถูกกล่าวหาข้อ 3 หากมีวาสนาจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทยเฉกเช่นคนไทยทุกๆคน

คงไม่ต้องมีคำอธิบาย.

"หมัดเหล็ก"

///////////////////////

คอลัมน์:คาบลูกคาบดอก..จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 13/08/2551

อย่าหลอกประชาชน






ปิ่น จักกะพาก

ราเกซ สักเสนา

คือ 2 ผู้ต้องหาที่หนีประกันตัวจากประเทศไทยไปอยู่ในอังกฤษและแคนาดา ประเทศไทยมีความพยายามอย่างมากมายที่จะนำตัวคนทั้งสองกลับมาดำเนินคดีต่อในกรุงเทพฯ

รัฐบาลไทยใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วอย่างมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถนำบุคคลทั้งสองกลับมายังประเทศไทย ทั้งๆ ที่ความผิดของคนทั้งสองมีความชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และแทบจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด

ทักษิณ ชินวัตร..ในวันนี้ หลบหนีประกันจากประเทศไทยไปอยู่ในอังกฤษ ประเทศเดียวกับผู้ต้องหา 2 คนแรก แค่เปรียบเทียบกับ ปิ่น จักกะพาก และ ราเกซ สักเสนา การจะนำตัวกลับมาก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ยิ่งเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี และสิ้นสุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะถูกทหารปฏิวัติ และเมื่อเขากลับมาเลือกตั้ง พรรคการเมืองของเขาก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชน จนสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ใหม่

ประชาธิปไตยทั้งโลก เขาจะยอมรับในสิ่งนี้

คดีความที่นำมาใช้ตั้งข้อหาให้กับทักษิณนั้น..ขบวนการที่ตั้งขึ้นมากล่าวหา สร้างกันขึ้นมาจากองค์กรปฏิวัติ ถึงแม้ว่าความผิดนั้นจะสมจริงแค่ไหน แต่เมื่อที่มาไม่ได้รับการยอมรับจากประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก จะให้อังกฤษส่งทักษิณกลับมานั้น..

เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

และทักษิณยังยืนยันว่าการพิพากษาโดยศาลเดียวกัน ไม่ชอบธรรมตามกระบวนการยุติธรรมโลก..คำกล่าวอ้างนั้นยิ่งฟังขึ้น

ประกอบกันมาด้วยเรื่องราวที่พรรณนามาทั้งสิ้นนั้น เรื่องจะเอา ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิง พจมานมาเมืองไทยโดยอังกฤษส่งมาให้นั้น

คนโง่ที่สุดก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

อยากจะหลอกตัวเองก็หลอกกันไป แต่อย่าไปหลอกประชาชน

พญาไม้

////////////////////

คอลัมน์:พญาไม้ทูเดย์...จากหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ วันที่ 16 ส.ค. 2551

คนไทยในอังกฤษออกแถลงการณ์ต้อนรับ ทักษิณ ชินวัตร






วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551
เรื่อง ขอต้อนรับ ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร สู่สหราชอาณาจักร
เรียน ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนในสหราชอาณาจักร มีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2548 จวบจนเหตุการณ์เมื่อคณะรัฐประหารทำการยึดอำนาจการปกครอง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 การล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 การยุบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และท้ายสุดการพยายามลอบสังหาร และ การกลั่นแกล้ง ทำลายล้าง จนเป็นเหตุให้อดีตนายกรัฐมนตรี ฯพณฯ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จำต้องลี้ภัยทางการเมือง มาพำนัก ณ สหราชอาณาจักร

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักร ขอแสดงความเคารพในการตัดสินใจของ ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรที่ตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศไทย เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมไทยและเพื่อตั้งหลักในการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตนเองและครอบครัว

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักรตระหนักถึงคุณงามความดี และผลงานที่ฯพณฯ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการแก้ปัญหาสำคัญต่าง ๆ ของประเทศ และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยให้อยู่ในระดับแนวหน้าของกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดระยะเวลาเกือบหกปีที่ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาทิ การปลดหนี้ IMF กองทุนหมู่บ้าน โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และที่สำคัญที่สุด พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นผู้ที่เข้าใจ และเข้าถึงปัญหาความยากไร้ของผู้คนในระดับรากหญ้าในชนบท อย่างแท้จริง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ได้ถูกยกระดับขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจทั้งระบบได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักรร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วโลก ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับ ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีสู่สหราชอาณาจักร และขอเป็นกำลังใจให้ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรต่อสู้กับความอยุติธรรมต่าง ๆ และมีความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรจะถูกใส่ร้ายป้ายสีจากขบวนการบ่อนทำลาย
ประชาธิปไตยเพียงใดก็ตาม ความจริงก็คือความจริง และ “ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

ขออาณุภาพแห่งความจงรักภักดีของฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ทุกพระองค์ และคุณงามความดีของฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร จงปกป้องให้ฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักร เชื่อมั่นว่าฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยที่เคยมีมา และฯพณฯ พตท.ดร. ทักษิณ ชินวัตรคือนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในดวงใจของประชาชนชาวไทยตลอดกาล

ขอแสดงความนับถือ

วัฒนา เอ็บเบจช์
กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักร

สองมาตรฐาน




โดย คุณ ลอย ลมบน
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
15 สิงหาคม 2551

ต้นไม้ที่เป็นพิษ ย่อมให้ผลที่เป็นพิษ” วลีนี้เปรียบได้กับ “ปลูกมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง” เมื่อรวมกับ “หว่านข้าวเปลือก ย่อมอยากกินข้าวสาร” หรือประโยคที่ว่า “ใครปลูกอะไร ก็หวังที่จะได้ลิ้มรสผลของสิ่งนั้น”







เมื่ออ่านหลายประโยครวมกัน ย่อมเข้าใจความหมายในถ้อยคำที่ปรากฏ ในแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ตัดสินใจไม่กลับประเทศไทย บิน “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” อยู่ที่อังกฤษ

สิ่งหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝากเอาไว้ให้คนในสังคมไทยได้คิดกัน คือความ 2 มาตรฐานขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสิน ชี้ผิดชี้ถูก

ความ 2 มาตรฐานในบ้านเมืองเรานั้นมีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมี หรือเพิ่งเกิดกับคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นบังเอิญว่า ความ 2 มาตรฐานที่ว่านั้น มันไปเกิดกับประชาชนทั่วไป ที่ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทนำในสังคม เกิดกับตาสีตาสา ยายมียายมา ที่ไม่มีปากมีเสียง จึงไม่มีผู้คนให้ความสนใจ จนปล่อยให้ความ 2 มาตรฐาน เกิดขึ้น และดำรงอยู่เรื่อยมาในสังคมไทย

มีหลายเรื่อง ที่พอจะยกตัวอย่างให้พอทบทวนความจำถึงความ 2 มาตรฐานกันได้ เช่น

การเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้าน บอยคอตไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง คนที่ฉีกบัตรเลือกตั้งใน กทม.ในภาคใต้ ไม่มีความผิด แต่คนที่ฉีกบัตรเลือกตั้งในอีกจุดหนึ่งของประเทศ คือ ภาคเหนือตอนล่าง หรือภาคกลางตอนบน อย่างที่พิษณุโลกกลายเป็นผู้ทำความผิดตามกฎหมาย

หรืออย่างกรณีหัวคะแนนของพรรคพลังประชาชน ถูกจับได้ว่าแจกเงินแจกทอง เพื่อจูงใจให้คนมาเลือกในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่นครราชสีมา ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนโดนใบแดง ทั้งที่ว่ากันว่า พยานหลักฐานก็ไม่ได้ชัดเจนสักเท่าไหร่ ในทางตรงกันข้ามหัวคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ถูกจับได้พร้อมโพยและเงินจำนวนมาก แต่ผู้สมัคร ส.ส.คนนั้น เพียงแค่ได้ใบเหลือง ไม่โดนใบแดง

กรณีการสอบเอาผิดเพื่อยุบพรรคในส่วนของพลังประชาชน ชาติไทย มัฌชิมาธิปไตย กระบวนการต่างๆ เดินไปด้วยความรวดเร็ว แต่เรื่องเดียวกัน ที่เกิดกับบุคคลระดับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อาจส่งผลให้ต้องยุบพรรคเหมือนกัน กลับเดินช้ายิ่งกว่าเต่า แถมทำท่าจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกลืม หากว่าไม่มีคนคอยตามสอบถามว่า สอบกันไปถึงไหนแล้ว

เลือกตั้งกันตั้งแต่ 23 ธ.ค.2550 นี่เวลาก็ล่วงเข้าเดือน ส.ค.2551 แต่การสอบสวนคดีของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนอย่างช้าๆ ในขณะที่คดีความเกี่ยวกับพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาฯ คืบหน้าไปไกลกว่ากันมาก เกือบจะส่งให้ศาลพิจารณายุบพรรคกันได้อยู่แล้ว

นี่ยังไม่รวมเรื่องการเรียกร้องให้ตรวจสอบเงินทุนของพีทีวี โดยไม่มีใครสนใจเรียกร้องให้ตรวจสอบเงินทุนของเอเอสทีวี และเงินทุนที่พันธมิตรฯใช้ในการเคลื่อนไหว

ไม่รวมการเรียกร้องให้ยกเลิกรายการ “ความจริงวันนี้” ทางช่องเอ็นบีที ที่ออกอากาศวันละไม่เต็มชั่วโมงดี โดยหาว่าสร้างความแตกแยกในสังคม ขณะที่ไม่มีการเรียกร้องให้เอเอสทีวี ยุติหรือลดเวลา การออกอากาศ ด่าทอฝ่ายตรงข้าม

ไม่รวมข้อสังเกตที่ว่า นายกฯสมัครจัดงาน 116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ ว่าดึงสถาบันมาเป็นเกมการเมือง แต่ไม่มีใครต่อว่าพันธมิตรฯ ที่ใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาแอบอิงอยู่กับสถาบันเบื้องสูง ซึ่งก็ทำเพื่อหวังผลทางการเมือง ไม่ต่างกัน

ฝ่ายหนึ่งอิงสถาบันเพื่อให้เกิดความสงบสุข อิงสถาบันเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอิงสถาบันโดยไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

แต่คนฝ่ายแรก กลับถูกตั้งข้อสังเกต ถูกต่อว่า ถูกกระแนะกระแหน แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีใครกล้า แม้แต่จะวิจารณ์

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างพอหอมปากหอมคอของความ 2 มาตรฐาน ซึ่งยังคงมีอีกมาก ที่ขุดเอามาสาธยายกันได้ไม่มีวันหมด

อายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบทพิสูจน์ “อยุติธรรม”





มีการพูดจากว้างขวางในประเทศและต่างประเทศ ถึงแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ประเทศอังกฤษ โดยทิ้งระเบิดลูกเบ้อเริ่มในความไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือ “กระบวนการยุติธรรม” ของประเทศไทย

ข้อพิสูจน์สำคัญนั้นคือการอำนาจของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ที่ทำการ อายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 7.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการไล่ยึดทุกบัญชี โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนในการกระทำผิดในทรัพย์ก้อนนี้เป็นเงินส่วนใดที่ทุจริต เงินส่วนใดที่เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ เนื่องจากการทำการค้าขายอันปกติประกอบไปด้วย


1.ธนาคารกสิกรไทย 36 ล้านบาท
2.ธนาคารกรุงเทพ 18,156 ล้านบาท
3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 2,125 ล้านบาท
4.ธนาคารทหารไทย 10 ล้านบาท
5.ธนาคารไทยพาณิชย์ 39,634 ล้านบาท
6.ธนาคารธนชาต 1,476 ล้านบาท
7.ธนาคารนครหลวงไทย 1 ล้านบาท
8.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 500 ล้านบาท
9.ธนาคารยูโอบี 492 ล้านบาท
10.ธนาคารออมสิน 15,748 ล้านบาท
11.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 200 ล้านบาท
12.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 10,000 ล้านบาท
13.บลจ.กสิกรไทย 208 ล้านบาท
14.บลจ.ไทยพาณิชย์ 2,237 ล้านบาท
15.บลจ.แอสเซทพลัส 172 ล้านบาท และ
16.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และที่ดิน 2,722 ล้านบาท


เป็นที่รู้กันดีว่า ตระกูลชินวัตร ร่ำรวยจากผลประกอบกิจการ โทรคมนาคม หรือ โทรศัพท์มือถือ ในค่าย เอไอเอส ซึ่งเริ่มก่อร่างสร้างธุรกิจมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ให้การสนับสนุน มี คู่แข่ง คือ ดีแทค และ ทรูมูฟ
เรื่องนี้ ค้างคา อยู่ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในฐานะที่ต้องดำเนินการต่อจาก คตส. ซึ่งประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ และศาลได้พิพากษาให้ ป.ป.ช. ทำหน้าที่เป็นโจทก์แทน คตส. คล้ายๆ กับเป็นการรับมรดกต่อเนื่องจาก คตส. นั่นเอง แต่ ป.ป.ช. บอกว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจพิจารณาใดๆ เลย

วันนี้หาคำตอบไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะไปตามทวงคืนทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านได้ที่ไหน จะไปยืนยันความได้มาได้ที่หน่วยงานราชการใด ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่าไม่มีอำนาจ ตำรวจบอกว่าไม่มีอำนาจ ป.ป.ช. บอกว่าไม่มีอำนาจ เหมือนกับที่ประชาชนไปติดต่อราชการ โยนกันไปโยนกันมา เดินในตึกไปทางซ้ายที ขวาที ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนมีอำนาจกันแน่

การใช้อำนาจของ คตส. “ยึดทรัพย์ก้อนมหึมา” โดยไม่แยกแยะว่าเงินส่วนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และเงินส่วนใดไม่เกี่ยวข้อง นั้นเป็นคำถามค้างคาใจ
* การกระทำแบบนี้คือสิ่งที่ ถูกต้อง เป็นธรรม ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ใช่หรือไม่?
* มาตรฐานการใช้กระบวนการยุติธรรมนี้ หากเป็นธรรม ทำไมจึงยกเลิกไปเสียล่ะ หรือใช้เฉพาะคนคนเดียวแล้วจบกันเท่านั้น แบบนี้หรือคือความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
* น่าแปลกใจไหม นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคไทยรักไทยมากมาย บริสุทธิ์ 100% แล้วหรือ ทำไมไม่ไปยึดทรัพย์ในลักษณะเช่นนี้บ้าง
เป็นเรื่องที่ สาธารณชนในประเทศไทย และ ชาวโลกอีกหลายร้อยชาติ จะต้องใช้ดุลพินิจพิจารณา
“พวกเอ็งโดนตรวจสอบ พวกข้าไม่ต้องตรวจสอบ”
“พวกเอ็งโดนยึดทรัพย์ พวกข้าไม่ต้องยึดทรัพย์”

การออกมายืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยมีความยุติธรรม แล้วเกิดชาวโลกเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประเทศไทยจะเสียหาย ในทางกลับกันหากเราจะยอมรับความจริง กระบวนการหลัง โจรปล้นประชาธิปไตย 19 กันยายน 2549 เกิดขึ้นนั้นไม่ยุติธรรมจริงๆ หวังเล่นงานข้างเดียว

ถึงขนาดประกาศ คปค. ที่แต่งตั้ง คตส. มีการระบุอย่างชัดเจนว่า เอาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐบาล “ทักษิณ” แค่นี้ก็เห็นความเจตนาในความคิดทุรยศแล้ว

วันนี้สังคมไทยควรจะต้องพิจารณาปรับรื้อกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ในชาติขึ้นมา อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ไม่ใช่ “พรรคพวกเอ็งทำผิดหมด พรรคพวกข้า ไม่ผิดเลย” มี 2 ข้าง ตัดสินให้น้ำหนักต่างกัน ใครก็รู้มันไม่ยุติธรรม ไม่แตกต่างกับ “ตราชู” ที่เอียงกระเท่เร่ หากนำมาชั่งน้ำหนักของทั้ง 2 ฝ่าย

ศรัทธาทำลายกันไม่ได้ !



มีคำถามมามากมายว่าเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงโดนหนักที่สุดในบรรดาผู้นำประเทศ และในประวัติศาสตร์ชาติไทย
คำตอบที่สามารถตอบได้ง่ายๆ เลยก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนรักและศรัทธามากที่สุด
ในช่วงชีวิตของคุณเคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ทำงานมากมายขนาดนี้หรือไม่ เคยเห็นนายกรัฐมนตรีลงไปแก้ไขปัญหาปากท้องชาวบ้านถึงพื้นที่จริงๆ หรือไม่
และเคยเห็นนายกรัฐมนตรีที่กล้าจัดการกับปัญหาของบ้านเมืองที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งปัญหาเหล่านั้นถ้าใครมาจัดการจะก่อให้เกิดศัตรูจำนวนมาก เช่น ปัญหายาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ฯลฯ

พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กลัวหน้าอินทร์ หน้าพรหม ไม่แยแสต่อการก่อศัตรูรอบทิศ เพราะเขาคิดว่าในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หน้านี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำงานให้เต็มที่สมกับความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน
ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เขาคิดเพียงว่ามีนายคนเดียว คือ “ประชาชน” ดังนั้นคนที่จะทำให้เขาพ้นจากตำแหน่งได้คือ “ประชาชน”
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ วางแผนออกนโยบายต่างๆ ที่คิดว่าจะเข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด
เช่น นโยบายคิดใหม่ ทำใหม่ ซึ่งต่อมาถูกเรียกในเชิงลบว่าเป็น "ประชานิยม" เช่น กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งชุมชนหนึ่งผลิตภัณฑ์ 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร แท็กซี่เอื้ออาทร โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร
นโยบายต่างๆ เหล่านี้ ปฏิบัติแล้วเห็นผลเป็นรูปธรรม ประชาชนชื่นชอบ เพราะรัฐบาลในอดีตไม่เคยเหลียวแลพวกเขาเลย
ด้วยเหตุนี้คะแนนนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากจะวัดก็สามารถดูได้จากผลการเลือกตั้งแบบปาตี้ลิสต์
ณ วันนี้ ผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของคนไทยและคนทั่วโลกแล้ว แม้จะโดนศัตรูที่มีจิตใจอำมหิต เจตนาล้างผลาญเหมารวมทั้งลูกเมียและญาติมิตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม
แต่ผมเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งในอนาคต หากมีการยุบพรรค หรือกระทั่งการแตกสลายของพรรคพลังประชาชนก็ตาม
ใครที่ชูภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาก็ต้องได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนทุกคน เพราะอย่างที่ผมบอกไว้ว่า ความศรัทธามันทำลายกันไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะยาวนานแค่ไหน

แม้วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโดนเล่นงานจากสารพัดข้อกล่าวหาและให้ข่าวประจาน พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ฝ่ายเดียว
แม้วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะโดนศัตรูพยายามยึดทรัพย์สินทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สินที่มีมาก่อนเล่นการเมืองด้วย
แม้วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีกลุ่มคนบ้าออกมาตะโกนด่าทอ และดูถูกเหยียดหยามออกโทรทัศน์ทุกวัน

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินไทย
วันนี้มันทำลายกันไม่ได้จริงๆ ต่อให้กระหน่ำซ้ำเติมแค่ไหน
ประชาชนคนไทย ต้องช่วยกันหยุดยั่งอำนาจเถื่อนที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากการเมือง โดยมี “มือที่มองไม่เห็น” คอยบงการชักใยอยู่เบื้องหลัง
โปรดหยุดการจ้องล้างจ้องผลาญ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว
เพราะสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่ มันไม่ใช่ทำลายใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เป็นการทำลายประเทศชาติ ทำลายจิตใจคนไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
วันนี้ขอเพียงแต่ คนไทยจึงยืดหยัดในความถูกต้อง และหนักแน่นในความศรัทธาของตัวเอง
รอคอยวันที่ยิ่งใหญ่ วันที่ประชาธิปไตยเบิกบาน วันที่เผด็จการมีอันเป็นไป !

จาก คอลัมน์ ละครชีวิต
ที่มา เวบไซต์ ประชาทรรศน์
15 สิงหาคม 2551

14 สิงหาคม 2551

ภารกิจของผู้ลี้ภัย



ภารกิจของผู้ลี้ภัย

เลือกคบไม่เลือกข้าง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2352 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 14 สิงหาคม 2008
โดย กาหลิบ


ไม่ว่าโดยนิตินัยจะเป็นหรือไม่ แต่โดยทางปฏิบัติคือพฤตินัยแล้ว คุณทักษิณก็กลายเป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียนอำมาตย์

เพราะการเขียนจดหมายแสดงเจตนารมณ์และวิพากษ์โครงสร้างอันเน่าหนอนของสังคมไทยไว้ก็ดี หรือการถูกศาลฎีกาออกหมายจับแล้วก็ดี ทำให้โอกาสที่คุณทักษิณจะกลับเมืองไทยเหมือนครั้งที่แล้วหมดไปทันที

มาคราวนี้ถ้าไม่ถูกเขาจับมา คุณทักษิณก็ต้องมาเพื่อจับเขา
มันชัดเจนถึงขนาดนั้นแล้วครับ

เมื่อกลายเป็นผู้ลี้ภัยหรือ asylum seeker ไปแล้วอย่างนี้ คนที่สู้รบมากับของใหญ่ๆอย่างที่คุณทักษิณทำมา คงจะไม่เก็บหมัดเก็บศอกเอาไว้ให้มิดชิดจนเกินไป แต่น่าจะเตรียมภารกิจบางอย่างที่คุณทักษิณคนเดิมทำไม่ได้หรือไม่สะดวกทำ

นั่นคือการพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยมุ่งทำลายกระบวนการตอแหลแบบไทยได้แล้ว

สิ่งที่คุณทักษิณควรทำเป็นอย่างยิ่งคือ การตระเวนรอบโลกเพื่อสื่อสารให้เขารู้ว่า “สยามเมืองยิ้ม” นั้นความจริงเป็นยิ้มที่อาบด้วยยาพิษอันร้ายแรงตามดำฤษณาแห่งความอิจฉาริษยาขนาดไหน

อะไรที่เคยกัดริมฝีปากตัวเองไว้ไม่ยอมพูด บัดนี้ก็ควรจะพรรณนาออกมาเป็นฉากๆ เพื่อให้ความจริงปรากฏขึ้นในประเทศที่หาความจริงได้ยากเสียทีหนึ่ง

ขืนเกรงใจต่อไปอีกก็คงบ้าแล้ว

ลำดับความทีละเรื่อง จนจบเรื่องไปทีละคน และก็ใช้เวลาเริ่มต้นเล่าเรื่องของอีกคนหนึ่ง โดยปอกไปทีละเรื่องเหมือนกัน
ใช้วิธีพูดบ้างเขียนบ้างก็คงจะได้ หรือไม่ก็ให้สัมภาษณ์กับคนที่ทำวิจัยเชิงลึกในประเทศที่ประกันสิทธิทางวิชาการไว้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่จะมาล้างความเท็จในสังคมไทยที่เคลือบไว้อย่างหนาหนักจนแทบมองไม่เห็นเนื้อในเอาเลย ซึ่งจะเป็นปฏิบัติการสำคัญแห่งอนาคต

จำไว้เลยครับว่ากลับมาอีกครั้ง คุณทักษิณจะต้องสนับสนุนการชำระประวัติศาสตร์กันใหม่ เผื่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะบรรเทาลงบ้าง

ระหว่างนี้ก็อ่านหนังสือต่างๆที่เขาห้ามอ่านในเมืองไทยไปเรื่อยๆ
นัดพบบุคคลต่างๆที่เขาห้ามพบในเมืองไทยไปเรื่อยๆ
หาประสบการณ์จากคนไทยที่เป็นผู้ลี้ภัยรุ่นพี่ที่อาจจะไม่ดังเท่าคุณทักษิณเอาไว้เรื่อยๆ

เดินทางไปยังประเทศต่างๆที่มี “ความในใจ” เกี่ยวกับอะไรบางอย่างในเมืองไทยเอาไว้เรื่อยๆ

ครับ ทำอะไรเรื่อยๆได้ตั้งหลายอย่าง อย่าไปยอมหยุดยั้งเพียงเพราะความไม่เข้าใจของคนไทยบางส่วนเลยเป็นอันขาด และอย่าไปถือโทษโกรธเคืองด้วยนะครับ คนที่เขาถูกโปรยด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จมานานขนาดนั้น จะไม่ให้เคลิ้มไปบ้างก็จะผิดธรรมชาติมนุษย์ไป ฟ้าสว่างแล้วเราย้อนมาทำความเข้าใจกันก็ยังทัน

ผู้ลี้ภัยอย่างคุณทักษิณต้องไม่ลืมว่าคนจำนวนไม่น้อยเขายังไม่เข้าใจใน “ภัย” ที่คุณทักษิณต้องหลบลี้หนีไป เพราะเป็นเรื่องที่สวนทางกับความเชื่อถือของเขา แถมยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเพราะอยู่กันมานานด้วยความเกรงใจอย่างผิดๆ

จึงเป็นหน้าที่ของคุณทักษิณที่จะต้องอธิบายความ
เอาประเด็นที่ว่า “ภัย” อันแท้จริงของประเทศไทยคืออะไรนี่แหละครับ คุ้มกับการสละโอกาสที่จะได้อยู่บนแผ่นดินเกิดจนต้องมาเผชิญภัยในต่างแดนแล้ว

ทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกของประเทศหน่อยปะไร.

เลือกคบไม่เลือกข้าง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2352 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 14 สิงหาคม 2008
โดย กาหลิบ

ปล้น7.6หมื่นล้าน(คอมมิชชั่น 25%)















เรื่องจากปก
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 4 ฉบับที่ 168 ประจำวัน ศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2008


ปล้น7.6หมื่นล้าน(คอมมิชชั่น 25%)

การตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวไปพำนักอยู่ที่อังกฤษแทนการต่อสู้คดีต่างๆที่ถูกกล่าวหา เรื่องของกระบวนการยุติธรรมจะออกมาอย่างไร จะมีการเพิกถอนหนังสือเดินทางพิเศษหรือพาสปอร์ตแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือจะมีการดำเนินการระหว่างประเทศเพื่อส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวกลับในความผิดใดๆก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ที่เป็นข่าวใหญ่โตอีกครั้งคือทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวที่อายัดไว้และให้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของแผ่นดิน

ที่น่าสนใจกลับเป็นประเด็นค่าคอมมิชชั่นหรือเงินสินบนร้อยละ 25 ของทรัพย์สินที่ยึดมาได้นั้นใครจะเป็นผู้ได้รับ เพราะเป็นเงินจำนวนมหาศาลประมาณ 19,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกระเบียบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เมื่อเดือนธันวาคม 2549 แม้ในระเบียบจะระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือ คตส. ไม่มีสิทธิได้สินบนดังกล่าวก็ตาม แต่ในระเบียบก็ให้ปิดผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับ คตส. เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของคำถามต่อมาในเรื่องของ “นอมินี” ที่จะรับเงินสินบนจำนวนมหาศาลนี้

ทั้งนี้ ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ในข้อที่ 7 ระบุว่า “ให้ผู้แจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การตรวจสอบการไต่สวนคดีกระทั่งคดีไปสู่ศาล จนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ได้รับเงินสินบนเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินที่แจ้งเบาะแส มูลค่าทรัพย์สินให้พิจารณาตามราคาทรัพย์สิน ณ วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลเป็นที่ยุติ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จะมีการขายทอดตลาดให้ถือตามราคาที่ได้รับจากการขายทอดตลาด โดยหักค่าภาระติดพันและตกเป็นรายได้ของแผ่นดินแล้ว”

“แก้วสรร” ยกระเบียบโต้ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ได้ออกมาโต้ข่าวที่เกิดขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่า คนที่ให้ข่าวอาจอ่านระเบียบ คตส. ไม่ดีพอ เพราะในระเบียบกำหนดชัดเจนว่าบุคคลที่จะได้รับประโยชน์จากการตรวจสอบคดีต่างๆต้องเป็นบุคคลภายนอกที่แจ้งข้อมูลมากับ คตส. จนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบได้เท่านั้น

ส่วนกรณีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นที่ถูกนำไปซุกไว้ในชื่อของบุคคลหรือบริษัทเอกชน เป็นข้อมูลที่ คตส. ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจากเอกสารของนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ส่วนกรณีการติดตามเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 76,000 ล้านบาทนั้น ข้อมูลก็มาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด

แต่วันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าหากยึดทรัพย์ของครอบครัวชินวัตรแล้วจะมีสินบนที่ต้องจ่ายให้กับผู้ชี้เบาะแสหรือไม่ และจำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในแง่ของความโปร่งใสและยุติธรรมแล้ว หากเป็นการรวมหัวกันอย่างที่เป็นข่าวก็ไม่ต่างอะไรกับการปล้นทรัพย์สินครอบครัวชินวัตรอย่างถูกกฎหมายนั่นเอง และไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เมื่อ “อ้อยเข้าปากช้าง” แล้ว

คตส. กับ “สินบน-นอมินี” ย้อนไปถึงที่มาของระเบียบการให้สินบนของ คตส. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2549 นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. ในขณะนั้น แถลงว่า คตส. ได้ออกระเบียบว่าด้วยการให้สินบนกับผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับ คตส. จนกระทั่งสามารถดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินจนตกเป็นของรัฐได้ โดยจะได้รับสินบน 25% ของราคาทรัพย์สินที่ตกเป็นของรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ และเป็นระเบียบที่ร่างตามกฎหมายเดิมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช. ยังไม่ได้ร่างรายละเอียดขึ้นมา คตส. จึงสร้างระเบียบขึ้น โดยผู้ที่ได้รับสินบนดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะผู้ที่ชี้ช่องหรือให้ข้อมูลกับรัฐเท่านั้น ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ คตส. จะไม่มีสิทธิได้สินบนดังกล่าว ซึ่งต่างจากระเบียบของศุลกากรที่กำหนดให้ผู้ชี้ช่องได้สินบน และเจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิได้รางวัลด้วย ประมาณ 30%+25% รวมเป็น 55%

ทั้งนี้ ผู้ที่มีข้อมูลสามารถจะให้เก็บเป็นความลับหรือเปิดเผยได้ และหากมีหลักฐานก็สามารถนำมาส่งมอบได้ด้วย โดยนายสักชี้แจงว่า ตามระเบียบดังกล่าว ผู้ครอบครองแทนหรือนอมินีทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ร่ำรวยผิดปรกติ หรือทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นผิดปรกติที่ได้นำมาฝากไว้ สามารถนำมาแจ้ง คตส. ได้ และถ้าดำเนินการจนกระทั่งทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ผู้แจ้งซึ่งเป็นนอมินีก็จะได้รับสินบนดังกล่าวเช่นกัน

แผนบันได 4 ขั้น คมช. “การยึดทรัพย์เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ที่เพิ่งมาพูดเพราะเมื่อก่อนเป็นสมาชิกและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งแนวทางของหัวหน้าพรรคใหม่ต้องการรักษาระยะห่างระหว่างทักษิณกับไทยรักไทย เพราะเกรงจะถูกมองว่าเป็นนอมินี แต่วันนี้พูดได้เพราะพรรคถูกยุบแล้ว ผมเชื่อว่าการที่ คตส. กล้าอายัดทรัพย์เป็นแผนบันได 4 ขั้นของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)”

นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ที่เคยพูดไว้ชัดเจนก่อนหน้านี้ว่ารับไม่ได้กับคำสั่ง คตส. ที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ทั้งที่ทรัพย์ได้มาโดยสุจริตและขายทรัพย์สินโดยเปิดเผย ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าระเบียบการจ่ายเงินให้กับผู้แจ้งเบาะแสอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจมีการสร้างนอมินีที่เกี่ยวข้องกับ คตส. มาเป็นผู้ชี้มูลได้ จึงขอให้ คตส. เปิดเผยว่ามีคนชี้มูลแล้วกี่ราย พร้อมกันนี้ยังเตรียมพิจารณายื่นฟ้องเพิกถอนระเบียบว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของ คตส. พ.ศ. 2549 ที่เปิดช่องให้ผู้แจ้งเบาะแสได้รับเงินถึงร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดภายใน 30 วัน เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

นายวิชิตชี้ว่า ระเบียบข้อที่ 6 เรื่องสินบนที่แบ่งกลุ่มผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผย และผู้ที่แจ้งเบาะแสโดยไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ทั้งสองกรณีมีข้อสังเกตว่าหากแจ้งต่อประธาน คตส. และลงนามรับทราบ ก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอะไรอีก จึงเป็นห่วงว่าอาจจะมีการใช้นอมินีหรือตัวแทนมาแจ้งเบาะแสเพื่อรับเงินสินบนดังกล่าว แต่ไม่ได้กล่าวหาว่านายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ออกระเบียบดังกล่าวมาเพื่อหาผลประโยชน์ แต่น่าจะทำให้เกิดนอมินีหรือกลุ่มตัวแทนขึ้นมาได้ และความจริง คตส. มีอายุการทำงานเพียง 1 ปี ไม่สมควรออกระเบียบดังกล่าวขึ้นมา ขนาด ป.ป.ช. ซึ่งเกิดมากว่า 10 ปี ยังไม่เคยออกระเบียบในลักษณะนี้ทั้งที่มีอำนาจเต็มที่

“ระเบียบข้อนี้มีอะไรที่น่าติดตามมาก ผมขอเรียกร้องให้ คตส. เปิดเผยข้อมูลว่าขณะนี้มีผู้แจ้งเบาะแสมาแล้วกี่ราย ทั้งที่แสดงตนและไม่แสดงตน เพราะยังมีประเด็นสำคัญที่ว่าทายาทของผู้แจ้งเบาะแสมีสิทธิได้รับเงินสินบนส่วนนี้ได้ ซึ่งการดำเนินการส่วนนี้ทำให้มองได้ว่าเป็นเหตุผลทางการเมือง บวกกับมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง” นายวิชิตกล่าว



“ไอ้โม่ง” จ้องฮุบสินบนจาก คตส. ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา โฆษกทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับนายวิชิต ก็ระบุว่ากรณีที่ คตส. ออกระเบียบให้ผู้แจ้งเบาะแสได้รับเงินสินบน 25% จากทรัพย์สินของผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ถูกริบเป็นของแผ่นดินนั้น ขณะนี้ได้ยินมาว่ามีผู้แสดงตัวเป็น “ไอ้โม่ง” มารับสินบนแล้ว โดยผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่มีลูกหลายคนได้บอกกับลูกบางคนที่ยังยากจนอยู่ว่าให้อยู่เงียบๆ นิ่งๆ เดี๋ยวพ่อจะเอาเงินสินบนนี้มาให้เพื่อปลอบใจ ลูกได้ยินแล้วก็ดีใจและฝันว่าในส่วนนี้สามารถเป็นไปได้ แม้ตามระเบียบจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าได้สินบนนี้มาแล้วหากนายนามลงนามมอบสินบนให้ก็ไม่สามารถเปิดเผยผู้รับสินบน 25% ได้

นายประเกียรติตั้งข้อสังเกตว่า คตส. ที่แต่งตั้งโดยอำนาจของ คปค. นั้นมีความฝังใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีหุ้นและทรัพย์สินต้องห้ามในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ จึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นคดีซุกหุ้นภาค 3 โดยที่ คตส. ได้ชี้มูลความผิดด้วยการสันนิษฐานว่ามีการซุกหุ้นเกิดขึ้น จึงมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมถึงคนใกล้ชิดถึง 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 60,000 ล้านบาท โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวไม่ได้กระทำความผิด ไม่ได้ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ พร้อมกับถามถึงความชอบธรรมของ คตส. ที่มาจากอำนาจเผด็จการว่ามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน

คตส. โต้ทำตามระเบียบ แม้ปัจจุบัน คตส. จะหมดวาระไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้นายแก้วสรรได้กล่าวเรื่องการแจ้งเบาะแสในคดีต่างๆ ซึ่งจะมีเงินรางวัลให้กับผู้แจ้งเบาะแสที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้วนั้น มีผู้แจ้งเบาะแสข้อมูลทางคดีให้กับ คตส. ตามระเบียบดังกล่าวแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาลูกเอาเมียปลอมตัวมาแจ้งเบาะแสเพื่อหวังเงินรางวัล และในระเบียบก็ยังไม่มีใครได้เงิน เพราะเราทำอะไรก็ต้องมีหลักฐาน...ขอชมทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณว่าหัวไวมาก เป็นผมยังนึกไม่ออกว่ามีเรื่องส่วนนี้ด้วย”

นายแก้วสรรชี้แจงว่า การให้เงินรางวัลกับผู้ชี้ช่องการกระทำการทุจริตหรือร่ำรวยผิดปรกติ รูปแบบคัดลอกจากระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีแต่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้นที่ถูกอายัด เพราะถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้อำนาจหน้าที่เพิ่มผลประโยชน์ให้ตัวเองและบริษัท จึงเปรียบเสมือนว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เมื่อทรัพย์สินแปลงสภาพเราก็ไปตามทรัพย์นั้นกลับมา

ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส. และอนุกรรมการสอบสวนการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กล่าวถึงข้อสงสัยของทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องการแจ้งเบาะแสว่า ไม่อยากให้น้ำหนัก อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่สนใจ เพราะทุกอย่างไม่มีมูลความจริง คตส. ทำตามระเบียบที่ประกาศไว้ เมื่อในส่วนของการแจ้งเบาะแสทางผู้แจ้งประสงค์ไม่ให้เปิดเผยชื่อและรายละเอียด คตส. ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะผิดกฎหมาย แต่ทุกเรื่องที่แจ้งมาก็ทำไปตามขั้นตอน

ต่างประเทศไม่ยอมรับแน่ แม้แต่นักวิชาการอย่าง รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็กล่าวกับ “โลกวันนี้” ว่าหากเป็นไปตามข่าว การให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสจากคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 25% หรือประมาณ 19,000 ล้านบาทนั้นเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นระเบียบอะไรก็ไม่ทราบ โดยเฉพาะออกโดยประกาศของ คตส. ถ้าทำอย่างนี้กับ พ.ต.ท.ทักษิณมากๆจะมีปัญหาต่อการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งต่างประเทศอาจมองว่าเป็นเรื่องทางการเมือง และอาจสงสัยว่าตั้งระเบียบการให้รางวัลผู้ที่แจ้งเบาะแสถึง 25% ได้อย่างไร ที่สำคัญอาจมีข้อสงสัยว่ามีการชี้มูลกันเองหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอาจใช้เป็นข้ออ้างที่ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยขาดความน่าเชื่อถือ

“ผมขอย้ำว่าการให้คอมมิชชั่น 25% แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสตามระเบียบของ คตส. เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นการออกโดยประกาศของ คตส. ที่อดีตมาจากการรัฐประหาร และจะยิ่งทำให้ศาลอังกฤษมองว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมีเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง มีแรงจูงใจทางการเมืองเพื่อต้องการเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ คตส. เป็นแค่กลุ่มบุคคลเฉพาะกิจ ซึ่งต่างประเทศก็ไม่ให้การยอมรับอยู่แล้ว” รศ.ประสิทธิ์กล่าว

เงินสินบนมีแต่ปัญหา “ผมคิดว่าอะไรที่มันผิดกระบวนการตามปรกติเชื่อว่าจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากประชาชนคงไม่ปล่อยให้กระบวนการอย่างนี้สร้างความเสียหายต่อไป เพราะคนจะเสียหายในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามีวิธีสารพัดที่จะทำลายกระบวนการที่ผิดเพี้ยนนี้ให้อยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายอาจต้องมีการออกกฎหมายมาจัดการกระบวนการที่ไม่ถูกต้องนี้ เพื่อให้กระบวนการทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยที่ถูกต้องตามปรกติ”

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความเห็นกับ “โลกวันนี้” ถึงกรณีเงินรางวัลของ คตส. ว่าที่ผ่านมาก็มีปัญหาเกี่ยวกับรางวัลที่ออกตามกฎหมายอยู่พอสมควร เพราะในอดีตมีการกำหนดเงินสินบน เงินรางวัลต่างๆ แต่ก็มีการบิดเบือนกันมาก อย่างกฎหมายบางฉบับบอกว่ามีผู้แจ้งความนำจับ เช่น กฎหมายการพนันระบุว่าถ้ามีผู้แจ้งความนำจับและศาลสั่งปรับ ผู้แจ้งความนำจับจะได้เงินรางวัลจากค่าปรับกึ่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีการไปจับ แต่มีการอุปโลกน์ผู้แจ้งความนำจับเพื่อเอาเงินค่าปรับเข้ากระเป๋ากันเยอะมาก ทั้งที่เงินค่าปรับตามกฎหมายเพียงไม่กี่ร้อยกี่พันบาท

“แต่เงินสินบนอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา ขนาดออกตามกฎหมายก็มีปัญหามาก เกิดเป็นช่องทางให้ใช้ประโยชน์โดยมิชอบเยอะ แต่ครั้งนี้ถ้าเป็นเงินสินบนหรือเงินอะไรพวกนี้ที่ออกโดยระเบียบ โดยองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล และจะยิ่งทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกที่มีความคิดจะได้ประโยชน์เป็นของตัวเอง เช่น ถ้าผมออกระเบียบให้ตัวเอง เปิดช่องให้มีส่วนได้จากการกระทำอะไร เกิดคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีส่วนประโยชน์ได้เสียตรงนั้นก็จะเกิดอคติในการทำงานขึ้นมา และบางทีพบพยานหลักฐานที่จริงๆแล้วเขาไม่ผิดอะไร แต่ตัวเองอยากจะมีประโยชน์จากเงินตรงนี้ ก็อาจบิดเบือนกลบเกลื่อนพยานหลักฐาน หรือสร้างพยานหลักฐานมาปรักปรำเขาด้วย เรียกว่ามันบิดเบือนการทำงานอย่างตรงไปตรงมาของคนได้ ยิ่งถ้าเป็นเงินจำนวนมากๆก็ยิ่งมีการบิดเบือนการทำหน้าที่ของกลไกที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาได้” นายพงศ์เทพกล่าว

ยึดทรัพย์อยู่ที่ความเป็นธรรม ส่วนความพยายามที่จะยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นชนวนทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ที่รุนแรงหรือไม่นั้น นายพงศ์เทพให้ข้อคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่อยู่ที่ว่ามีเหตุผล มีความเป็นธรรมหรือไม่ที่ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างนั้น

“ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าตนมีเงินอยู่ 100 บาท ต่อมาได้เข้ามาทำงานทางการเมือง และทรัพย์สินมีมูลค่ารวม 120 บาท ถ้าจะหาว่าร่ำรวยผิดปรกติอย่างมากที่สุดก็เอาไป 20 บาท แต่นี่จะเอาไปทั้งหมด แล้วของเดิม 100 บาทของใคร อย่างนี้ถือเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่า คตส. เป็นกลุ่มบุคคลที่คณะปฏิรูปฯตั้งมาและมีเจตนาอะไร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ก็บอกแล้วว่าแผนบันได 4 ขั้นคืออะไร”

ส่วนระเบียบของ คตส. ที่อาจเปิดช่องให้เกิดปัญหาในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้นั้น นายพงศ์เทพกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประเทศอังกฤษจะพิจารณา อยู่ที่รายละเอียด ต้องว่ากันไปเป็นเรื่องๆว่าจะเข้าข้อกฎหมายใด ส่วนคดีในเมืองไทยก็ต้องว่ากันไป ทั้งคดีที่ยังค้างอยู่และคดีที่มีการดำเนินพิจารณาต่อได้ก็ต้องสู้กันไปตามกระบวนการ

“ปล้น” ด้วยคอมมิชชั่น แม้ คตส. จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่ามีอำนาจตรวจสอบและมีอำนาจฟ้องตามประกาศ คปค. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คตส. คือองค์กรเฉพาะกิจที่มาจากการแต่งตั้งจากการรัฐประหาร คตส. จึงไม่ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมตามปรกติ และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยให้การยอมรับ

ระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 1 ปีมีคำถามมากมายถึงการทำงานของ คตส. ว่าเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโปร่งใสจริงหรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า คตส. ตั้งขึ้นมาเพื่อพยายามเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและพวกให้ได้ คดีต่างๆที่ตั้งแท่นจาก คตส. จึงมีคำถามและข้อสงสัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของอดีต คตส. ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าค่อนข้างอคติ แทนที่จะเป็นกลางและทำให้ผู้คนเกิดความเชื่อถืออย่างผู้ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทั่วไปพึงปฏิบัติ

แม้แต่การสรุปคดีและการพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจการฟ้อง คตส. ก็ยังมีความขัดแย้งกับอัยการสูงสุดจน คตส. ต้องฟ้องเองหลายดคี ซึ่ง คตส. ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาด้วย เพราะกฎหมายให้อำนาจอัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องคดีเท่านั้น แต่ คตส. อ้างอำนาจจากประกาศ คปค. ที่เป็นอำนาจโดยเผด็จการ เช่นเดียวกับเรื่องเงินสินบนหรือคอมมิชชั่น 25% นั้นจะถือเป็นการปล้นที่ถูกต้องตามกฎหมายได้หรือไม่ ซึ่งมีผู้ตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า

1.คตส. สรุปสำนวนชี้ว่ามีความผิดนั้น มีการระบุชัดเจนหรือไม่ว่าทรัพย์ที่ว่าผิดหรือได้มาจากการทุจริตนั้นมีจำนวนเท่าไร

2.คตส. ชี้ชัดเจนหรือไม่ว่าก่อนที่จะกล่าวหาว่าทุจริตนั้นทรัพย์สินเดิมมีเท่าไร และหลังข้อกล่าวหาว่าทุจริตมีเพิ่มขึ้นเท่าไร

3.คตส. ชี้ให้เห็นชัดเจนหรือไม่ว่าการยึดทรัพย์ของลูกและภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นเงินจำนวนเท่าไรที่มาจากการทุจริต

4.คตส. ได้ระบุทรัพย์เดิมของบุคคลที่เกี่ยวข้องว่ามีจำนวนเท่าไร เพิ่มขึ้นเท่าไรอย่างชัดเจนหรือไม่

5.คตส. ระบุถึงทรัพย์สินหรือเงินที่ยึดมาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตอย่างชัดเจนหรือไม่อย่างไร

6.คตส. มีหลักฐานชี้ชัดหรือไม่ว่าทรัพย์หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นที่เป็นการทุจริตทั้งหมดนั้นมีเท่าไร

7.คตส. มีการระบุชัดเจนหรือไม่ว่ากฎหมายข้อใดที่ให้สามารถยึดทรัพย์ได้

8.คตส. ระบุชัดเจนหรือไม่ว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินที่ได้มาจากการทุจริต

การจะยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวที่มีเงินจำนวนมหาศาลถึง 76,000 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นปริศนาว่าเงินสินบน 25% ที่มากถึง 19,000 ล้านบาทนั้น ใครคือไอ้โม่งที่ปล้นเงินก้อนมหึมานี้

แม้วันนี้ คตส. จะโอนคดีให้ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อแล้วตาม แต่ทั้ง คตส. และ ป.ป.ช. ก็ถูกตั้งคำถามว่ามีความชอบธรรมตามกระบวนการยุติธรรมปรกติที่ทำเพื่อความถูกต้อง ยุติธรรม และโปร่งใส ตามหลักกฎหมายและทำนองคลองธรรมของบ้านเมืองปรกติหรือไม่ เพราะแม้แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันก็ถูกตั้งคำถามกรณีไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ แต่กลับยืนยันอย่างภาคภูมิใจว่ามีอำนาจเต็มในการทำงาน เพราะได้รับการแต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติ และได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเป็นผลพวงจากเผด็จการเช่นกัน

13 สิงหาคม 2551

ทั่วโลกจับตากระบวนการยึดอำนาจ โดยใช้ตุลาการภิวัตน์



ทั่วโลกจับตา ..กระบวนการยึดอำนาจ โดยใช้ตุลาการภิวัตน์ แทนก่อรัฐประหาร


โดย คุณ กาหลิบ
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
13 สิงหาคม 2551
สังเกตอากัปกิริยาของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะข้อเสนอ เชื่อมวันแม่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๑ กับวันพ่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ เข้าด้วยกัน ด้วยกิจกรรมอันหลากหลาย ก็พอจะระลึกรู้ได้ว่า ตุลาการภิวัตน์ได้ทำหน้าที่อย่างไร ส่งผลทางอ้อมให้อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ต้องตัดสินใจทบทวนอะไรหลายอย่าง ก่อนจะเดินหมากตาต่อไป และทำให้การโยกย้ายในกองทัพ ลงตัวได้ง่ายกว่าเดิม เพราะการเคลื่อนกำลัง กลายเป็นเรื่องรองไปเสียแล้วประชาชนก็สับสนอลหม่าน อ่านไม่ออกว่า เขาเล่นเกมอะไรกันอยู่ความจริงก็เรียบง่ายเป็นที่สุด การยึดอำนาจด้วยกำลังหลักจากกองทัพภาคใดภาค ๑ หรือการใช้กำลังทหารอากาศเข้าจับกุมตัวบุคคล ยังทำได้เสมอ แต่ประเด็น คือ ทำแล้ว คนสั่งการอาจจะอยู่ไม่ได้ หรืออย่างน้อย ก็ครองอำนาจยากขึ้นการใช้กลไกกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะแนบเนียน และมีภาพลักษณ์ว่า เป็นอารยะการวิเคราะห์ว่า คำวินิจฉัยใด หรือ คำพิพากษาใด ตั้งอยู่บนหลักความยุติธรรมแท้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ทางวิชาการเป็นอย่างสูง และมักซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของชาวบ้าน จึงแตกต่างจากการก่อรัฐประหาร ที่คนทั่วเมืองรู้ว่า เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย และพร้อมจะออกมาสู้เพื่อโค่นเผด็จการลงแต่เผด็จการที่ใช้อำนาจกระบวนการยุติธรรมนั้น หาต้นเหตุไม่พบ จะไปโค่นล้มเขาตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาไปวางแผนต้มยำทำแกงกันที่ไหน อย่างไร และโดยใครรู้แต่ว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้น สวนทางกับมโนธรรมทั่วไปของคนในประเทศนี้ แล้วก็เศร้าใจกันไปอย่างไรก็ตาม เริ่มมีนักวิชาการและสื่อมวลชนต่างประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะเขาเกิดปุจฉาขึ้นมาว่า เหตุใด รัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งจากประชาชนทั่วประเทศ ต้องอยู่ในสภาพเป็นเบี้ยล่างเขาอย่างนี้ และเมื่อต่อภาพเสร็จ ก็วิสัชนาไปที่ตุลาการภิวัตน์หลายสำนักข่าว และหลายมหาวิทยาลัย กำลังทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับระบบยุติธรรมในเมืองไทยกันอย่างจริงจัง ได้ทราบว่า สถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่หลายแห่ง เป็นผู้ส่งข้อมูลข่าวสารดีๆ ไปให้กับคนของเขา ในทำนองเปิดประเด็นขึ้นมา บวกกับความผิดเพี้ยนในกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ทำให้มิตรประเทศของเรา มองหน้าเราไม่สนิทใจเหมือนเก่า เพราะไม่รู้จะถูกหาเรื่องชกปากกันแบบกัมพูชาขึ้นมาเมื่อไหร่เขากำลังศึกษากันอย่างเข้มข้นว่า กระบวนการยึดอำนาจ และเข้าทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้กระบวนการยุติธรรม เป็นกลไกหลักนั้น เขาทำอย่างไรเมืองไทยกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกขึ้นมาแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ ความจริงเราก็เคยเป็นมาแล้วเมื่อ ๖ ปีก่อน แต่ครั้งนั้น เป็นกรณีศึกษาในฐานะที่มีเศรษฐกิจพัฒนาอย่างก้าวกระโดด รัฐบาลหลายประเทศ ยอมรับว่า มาศึกษาและเอาประสบการณ์ของไทยไปใช้บ้านเขาแต่ในคราวนี้ เรากลับกลายเป็นตัวอย่างในอีกสุดโต่งหนึ่ง นั่นคือ ทำอย่างไร จึงจะเขียนด้วยมือ และลบด้วยเท้าได้อย่างเร็วที่สุดถึงอำมาตย์จะไม่ละอาย แต่ชาวบ้านเขาอายเป็นครับ.

การลี้ภัยทางการเมือง การส่งผู้ร้ายข้ามเเดนเเละความผิดทางการเมือง



รศ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทนำ

การปฎิเสธที่จะมารายงานตัวต่อศาลของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยอดีตนายกรัฐมนตรีเลือกที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองเเทนนั้น ได้ก่อให้เกิดความสนใจในหมู่ประชาชนเเละสื่อเเขนงต่างๆ มากว่าเรื่องลี้ภัยทางการเมืองเป็นอย่างไร รัฐบาลไทยจะใช้ช่องทางการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนได้หรือไม่ ข้อเขียนนี้จะอธิบายหลักการการสำคัญเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้

การลี้ภัยทางการเมือง (Political Asylum)
การลี้ภัยทางการเมืองของบุคคลนั้นเป็นที่รับรองทั้งในตราสารระหว่างประเทศอย่างปฎิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนสากล (Universal Declaration of Human Rights) มาตรา 14 (1) ที่รับรองว่าบุคคลมีสิทธิที่จะเเสวงหาที่ลี้ภัยจากการประหัตประหาร (หรือการคุกคาม) รวมถึงกฎหมายภายในของรัฐ เช่นรัฐธรรมนูญ (หรือกฎหมายพื้นฐาน) ของประเทศเยอรมัน (มาตรา 16 (2) รัฐธรรมนูญของอิตาลี (มาตรา 10) รัฐธรรมนูญสาธารณะรัฐเชก (มาตรา 43) เป็นต้น ในขณะที่บางประเทศได้รับรองสิทธิการลี้ภัยไว้ในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ เช่น ใน Refugee Act ของสหรัฐอเมริกา

การลี้ภัยทางการเมืองนั้นเป็นนิติสัมพันธ์สองฝ่ายระหว่างบุคคลที่ขอสิทธิลี้ภัยกับประเทศที่รับคำร้องการขอลี้ภัย ในทางกฎหมายต่างฝ่ายต่างมีสิทธิด้วยกันทั้งคู่ กล่าวคือ บุคคลทั่วไปมีสิทธิที่จะร้องขอการลี้ภัย (right to Seek Asylum) ในขณะเดียวกัน ก็เป็นสิทธิของรัฐที่จะให้หรือไม่ให้การลี้ภัยเเก่บุคคลนั้น (the Right of State to Grant Asylum) การให้การลี้ภัยหรือไม่เป็นดุลพินิจของรัฐ ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศเเละกฎหมายภายในใดที่กำหนดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้ที่ลี้ภัยทางการเมือง การที่บุคคลใดจะได้รับสิทธิลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายเเละกฎระเบียบรวมถึงดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นๆ เช่นในประเทศฝรั่งเศสหน่วยงานที่ชื่อว่า French Office for the Protection of Refugees and Stateless Persons มีหน้าที่พิจารณาเรื่องการลี้ภัย

ส่วนเงื่อนไขที่บุคคลจะอยู่ในข่ายที่จะได้รับสิทธิลี้ภัยนั้น ส่วนใหญ่กฎหมายของเเต่ละประเทศจะอิงหรืออาศัยคำนิยามของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยค.ศ. 1951 รวมทั้งพิธีสาร ค.ศ. 1967 เป็นเเนวทางในการพิจารณา ส่วนเรื่องขั้นตอนวิธีการการขอเเละการอุทธรณ์เป็นไปตามกฎหมายภายในของเเต่ละประเทศ เงื่อนไขประการสำคัญที่ผู้ร้องจะได้รับสิทธิการลี้ภัยก็คือ ความเกรงกลัวว่าจะถูกประหัตประหาร (Persecute) โดยมีการเลือกปฎิบัติด้วยเหตุผลทางชาติพันธุ์ (race) ศาสนา (religion) สัญชาติ (Nationality) การเป็นสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เเละความคิดเห็นทางการเมือง (Political opinion) ซึ่งคำว่า “ความคิดเห็นทางการเมือง” นั้นมีความหมายกว้าง

สำหรับตัวอย่างของการให้สิทธิลี้ภัยทางการเมืองนั้น เช่น กรณีที่ประเทศฝรั่งเศสให้สิทธิเเก่ นาย Irakli Okruashvili อดีตรัฐมนตรีของจอร์เจียเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งกรณีของนาย Irakli Okruashvili ก็มีประเด็นเกี่ยวกับขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน

การส่งผู้ร้ายข้ามเเดน (Extradition)
การส่งผู้ร้ายข้ามเเดนเป็นช่องทางหนึ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศใช้ในการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกกล่าวหาที่หนีไปประเทศอื่น โดยปกติเเล้ว อำนาจอธิปไตยของรัฐย่อมจำกัดเฉพาะภายในดินเเดนหรืออาณาเขตของตนเท่านั้น ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐหนึ่งจะใช้อำนาจอธิปไตยเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งโดยที่รัฐนั้นไม่ยินยอมไม่ได้ ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยได้ไปอยู่ต่างประเทศ รัฐเจ้าของสัญชาติของผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปจับกุมในต่างประเทศไม่ได้เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของรัฐอื่น ดังนั้น รัฐเจ้าของสัญชาติจึงต้องร้องขอให้มีการช่วยเหลือที่จะติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยมาให้ โดยปกติเเล้ว ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนจะกระทำในรูปของสนธิสัญญาทวิภาคีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน ซึ่งเป็นฐานของความร่วมมือระหว่างรัฐที่ร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน (Requesting state) กับรัฐที่ถูกร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามเเดน (Requested state) อย่างไรก็ดี หากไม่มีสนธิสัญญาระหว่างกัน รัฐก็สามารถใช้ “หลักต่างตอบเเทน” (Reciprocity) ได้ (ซึ่งผิดกับกรณี “การโอนตัวนักโทษ” ที่ต้องมีสนธิสัญญาระหว่างรัฐที่ร้องขอกับรัฐที่ได้รับการ้องขอเสมอ)

อย่างไรก็ดี เเม้จะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามเเดนก็ตามก็มิได้หมายความว่า เมื่อมีการร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนเเล้ว รัฐที่ได้รับการร้องขอจะต้องส่งให้ตามคำร้องเสมอ โดยปกติเเล้ว ตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนหรือกฎหมายภายในเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนจะระบุเงื่อนไขหรือเกณฑ์ที่ใช้พิจารณารวมถึงข้อยกเว้นบางประการด้วย เกณฑ์หรือเงื่อนไขของการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนที่สำคัญคือ

ประการเเรก ความผิดที่จะส่งให้เเก่กันได้นั้นต้องเป็นความผิดของทั้งสองประเทศคือทั้งของประเทศที่ร้องของเเละประเทศที่ได้รับการร้องขอ ไม่ว่าจะเรียกฐานความผิดในชื่อใดก็ตาม เกณฑ์นี้นักกฎหมายเรียกว่า Double-criminality หรือ Double-jeopardy

ประการที่สอง โทษขั้นต่ำของฐานความผิด (เช่น ต้องไม่ต่ำกว่า 1 ปี)

ประการที่สาม ความผิดที่จะถูกดำเนินคดีได้เมื่อมีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนตามคำขอนั้น รัฐที่ร้องขอจะพิจารณาคดีเเละลงโทษได้เฉพาะความผิดที่ร้องขอเท่านั้น จะไปดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนไม่ได้ เกณฑ์ข้อนี้มีไว้เพื่อป้องกันมิให้มีการดำเนินคดีในควาผิดที่ไม่อาจส่งผู้ร้ายข้ามเเดนให้เเก่กันได้ เเต่รัฐได้อาศัยช่องทางของการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน ในความผิดฐานหนึ่งเพื่อไปดำเนินคดีหรือลงโทษในอีกความผิดฐานหนึ่ง เกณฑ์นี้เรียกว่า “Speciality”

ความผิดทางการเมือง (Political Offences)
เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ประเทศตะวันตกหลังการปฎิวัติฝรั่งเศสว่า การเเสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่เเตกต่างกันเป็นสิ่งปกติในสังคมระบอบประชาธิปไตยเเละเป็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญยิ่ง ดังนั้น หากบุคคลได้กระทำความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองเเล้ว ความผิดทางการเมืองย่อมไม่อยู่ในข่ายที่จะส่งผู้ร้ายข้ามเเดน

ปัญหาก็คือสนธิสัญญาทวิภาคีส่งผู้ร้ายข้ามเเดนก็ดี กฎหมายภายในของรัฐเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนก็ดี ไม่ได้มีการให้คำนิยามว่า ความผิดทางการเมืองคืออะไร โดยปกติเเล้ว การพิจารณาว่าความผิดใดเป็นความผิดอาญาธรรมดาหรือความผิดทางการเมืองนั้น เป็นดุลพินิจหรือเป็นปัญหาการตีความขององค์กรตุลาการของรัฐที่ได้รับการร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดน ไม่เกี่ยวกับรัฐที่ร้องขอเเต่อย่างใด ปัญหาขอบเขตของความหมายความผิดทางการเมืองนั้นเป็นปัญหาที่มีความยุ่งยากอยู่มิใช่น้อยเนื่องจากเกณฑ์ที่ใช้พิจารณานั้นมีอยู่หลายเกณฑ์ เเละในหลายกรณีศาลก็มิได้อาศัยเกณฑ์หนึ่งเกณฑ์ใดเป็นปัจจัยชี้ขาด เเต่ศาลอาจพิจารณาเกณฑ์อื่นๆ ควบคู่กันไป อีกทั้งทางปฎิบัติของเเต่ละประเทศก็มีความเเตกต่างกันไปด้วย การกระทำบางอย่างอาจมองว่าเป็นความผิดทางการเมืองอย่างเเจ้งชัด เช่น การประท้วงทางการเมือง การก่อกบฎ การต่อสู้เพื่อเเย่งชิงอำนาจทางการเมืองหรือต่อสู้เรียกร้องเอกราช การวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง เป็นต้น การกระทำเหล่านี้นักกฎหมายใช้เกณฑ์ที่เรียกว่า “Incident test”

อย่างไรก็ดี ความผิดทางการเมืองในปัจจุบันมิได้จำกัดเเค่ “ความผิดทางการเมือง” (political offence) เเต่เพียงอย่างเดียวเเต่อาจรวมถึง “ความผิดที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับความผิดทางการเมือง” (an offence connected with a political offence) ด้วยอย่างเช่น กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามเเดนระหว่างประเทศอังกฤษกับไอร์เเลนด์ ฉะนั้น ปัจจุบัน นักกฎหมายบางท่านจึงใช้คำว่า ความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง (Political character) เเทน

นอกจากนี้ ความผิดทางการเมืองมิได้จำกัดเพียงเเค่ “การกระทำ” (act) ของผู้กระทำเเต่เพียงอย่างเดียวอย่างที่เข้าใจกัน เเต่รวมถึงปัจจัยอย่างอื่นด้วย เช่น เเรงจูงใจของรัฐบาลที่ร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนว่ามีเเรงจูงใจทางการเมืองเเอบเเฝงหรือไม่ ที่เรียกว่า “Political Motive of the Requesting State” หรือ การปฎิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Fair Trail) หากศาลพิจาณาเเล้วเห็นว่า สิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ของจำเลยหรือผู้ถูกกล่าวว่าจะถูกละเมิด ศาลก็อาจปฎิเสธที่จะส่งผู้ร้ายข้ามเเดนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจะเลยจะต้องเเสดงให้ศาลเห็นว่า สิทธิการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมหรือสิทธิมนุษยชนอื่นๆของตนจะถูกละเมิดได้

ยิ่งไปกว่านั้น ศาลของหลายประเทศยังได้ให้ความสำคัญกับระบอบการปกครองของประเทศที่ร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนด้วยว่ามีระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยมากน้อยเเค่ไหน มีการรับรองหลักนิติรัฐหรือไม่ เกณฑ์นี้เรียกว่า “the Political Structure of the Requesting State” เกณฑ์นี้ศาลอังกฤษเคยใช้ในคดี Kolczynski โดยศาลอังกฤษปฎิเสธที่จะส่งผู้ร้ายข้ามเเดนไปให้ประเทศโปเเลนด์ ซึ่งพิจารณาตามมาตรฐานของประเทศอังกฤษ (หรือประเทศตะวันตก) เเล้ว โปเเลนด์ในเวลานั้นยังไม่เป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานของประเทศตะวันตก

ข้อสังเกตจดหมาย (ที่ไม่ธรรมดา) ของอดีตนายกรัฐมนตรี
จดหมายที่อดีตนายกรัฐมนตรีส่งตรงมาจากกรุงลอนลอนนั้น หากคนธรรมดาทั่วไปอ่านคงคิดว่าเป็นการระบายความในใจต่อพี่น้องประชาชน เเต่หากพิจารณาเนื้อความอย่างละเอียดเเล้ว จดหมายนี้ยังเเฝงประเด็นข้อกฎหมายต่างๆไว้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องต้อง “ถอดรหัส” ต่อไป

บทส่งท้าย
การใช้สิทธิลี้ภัยทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามที่รับรองไว้ในปฎิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ส่วนจะได้สิทธิลี้ภัยหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายเเละขั้นตอนของประเทศอังกฤษ หากประเทศอังกฤษให้สิทธิลี้ภัยเเก่อดีตนายกรัฐมนตรีเเล้วจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่นั้นน่าคิดไม่น้อย เเต่หากรัฐบาลไทยใช้ช่องทางของการส่งผู้ร้ายข้ามเเดนโดยที่ศาลอังกฤษปฎิเสธที่จะส่งผู้ร้ายข้ามเเดนโดยเห็นว่าเป็นความผิดทางการเมืองหรือเป็นความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คืออาจมี “เครื่องหมายคำถาม” มากมายเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเเละหลักนิติรัฐของประเทศไทยว่าได้มาตรฐานอย่างประเทศตะวันตกหรือไม่อย่างหลีกเลี่ยงมิได้


รศ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แถลงการณ์ พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร




แถลงการณ์เรื่อง “การไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”



ก่อนอื่นกระผมต้องกราบขอประทานอภัยต่อคณะผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดา และพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุนผมทุกท่าน ที่ผมและภรรยาได้เดินทางมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ได้ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัว พร้อมกับบุคคลผู้ใกล้ชิด เป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากความต้องการขจัดผมออกจากการเมือง ด้วยการพยายามลอบสังหาร ตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ มาสอบสวนดำเนินคดีเฉพาะตัวผมและครอบครัว ร่างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งทางตรงและทางอ้อม เข้าไปเป็นกรรมการในองค์กรต่าง ๆ เพื่อดำเนินการกับผม เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ผู้สมัครส่วนใหญ่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิม ให้กลับคืนมาทำหน้าที่ตัวแทนของพวกเขา
ผมคิดว่าเหตุการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ และได้ความเป็นธรรม จึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลง เพราะสิ่งเกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัว เป็นเสมือนผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั่นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการ ในการจัดการ การเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามมาด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการกับผมและครอบครัว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ ถือว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย ระบบข้อเท็จจริง และการสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน การบังคับใช้กฏหมายที่มีผลเป็นโทษย้อนหลัง ไม่ยอมใช้หลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐ ผมและครอบครัวได้ถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง
การแทรกแซงกระบวนยุติธรรมและการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมและครอบครัว พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้ กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือ สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมือง จนขาดความเป็นกลาง ซึ่งเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหน จึงต้องใช้รถกันกระสุน นี่คือ ผลที่ได้รับ จากการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ด้วยความทุ่มเททำงานอย่างหนัก มาตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
ผมจึงต้องกราบขออภัยอีกครั้งหนึ่ง ที่ต้องตัดสินใจมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และขอยืนยันว่า
1. ผมและครอบครัว มีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงค์ทุกพระองค์ อย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาโดยตลอด
2. ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผม อดทนอีกนิดหนึ่งครับ
3. หากผมยังมีวาสนา ผมจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทย เฉกเช่นคนไทยทุกคนครับ

ด้วยความเคารพรัก
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร