16 กันยายน 2551

ประกาศ พรก ฉุกเฉินพันธมิตรกร้าวชุมนุมต่อ นปก.ยุติแล้ว







ใครทำร้ายใคร-ภาพของAPที่BBCนำเสนอให้เห็นภาพการ์ดของพันธมิตรกำลังฉุดกระชากลากถูมวลชนนปก.หลังจากถูกทำร้ายจนฟุบลงไปแล้ว(ดูภาพข่าวที่http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/7592942.stm)













2 กันยายน 2551


หลังจากที่กลุ่มมวลชน นปก.เคลื่อนกำลังจากสนามหลวงไปบุกกลุ่มพันธมิตรฯบริเวณทำเนียบรัฐบาล เมื่อกลางดึก จนเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีกกว่า 40 ราย โดยมี 3 ราย บาดเจ็บสาหัส ไปก่อนหน้านี้นั้น

ส่าสุด วันนี้ (2 ก.ย.) เมื่อเวลา 07.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์วุ่นวายที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลแล้ว

โดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ระบุว่า “ใช้อำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นกฎหมายที่เป็นมีบทบัญญัติบางประการ เกี่ยวกับการจัดการสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งตามมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 , 33 , 34 , 36 , 38 , 41 , 43 , 45 , และมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ บัดนี้ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 2 กันยายน 2551 ลงชื่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี”

พร้อมแต่งผู้บัญชาการทหารบก รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองหัวหน้า นอกจากนี้ยังออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คนในเขตกรุงเทพมหานคร รวมทั้งห้ามการเสนอข่าวที่อาจกระทบต่อความมั่นคงทั่วราชอาณาจักร

พลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรได้ประกาศบนเวทีต่อมวลชนของพันธมิตรว่า พันธมิตรจะไม่สลายการชุมนุม และยืนหยัดต่อไป ไม่เกินอีก2วันจะประสบชัยชนะ ขณะที่กลุ่มนปก.ได้ยุติการชุมนุมลง

เวทีสนามหลวง มวลชนต้านพันธมิตรเพื่ออภิชนาธิปไตยด่านสุดท้าย



















ผมอยากเรียกร้องในฐานะ เสรีชนคนหนึ่ง หลังๆมา ผมมักนิยมการเข้าร่วมกลุ่มชุมนุมในฐานะเสรีชนครับ ผมเรียกร้องให้เพื่อนๆ ในเว็บบอร์ด ปัญญาชน ชนชั้นกลาง ที่มีสถานภาพสังคม มีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจและเวลา เข้าร่วมกับฝ่ายที่ยืนยัน "หลักการ" ประชาธิปไตย

1.ผมไปถึงสนามหลวงประมาณ 5 โมงเย็น มีการตั้งเวทีขนาดใหญ่พอๆ กับเวทีนปก.เดิม บริเวณสนามหลวงด้านตีนสะพานปิ่นเกล้า หันหน้าเข้าหาวัดพระแก้ว และเมรุ 300 ล้าน

5 โมงเย็น แดดยังร้อน แต่มีผู้คนมานั่งจับจองที่หน้าเวทีกันพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่จะเตรียมร่มบังแดดและเสื่อมาด้วย ส่วนผู้คนอีกจำนวนหนึ่ง จะจับกลุ่มกันอยู่บริเวณด้านข้างเวทีทั้งสองด้าน เพราะมีร่มเงามากกว่า ร้านค้าขายของตั้งเรียงอยู่บริเวณถนนทางเดินตัดผ่านสนามหลวงด้านธรรมศาสตร์ พื้นที่สำหรับการชุมนุม เป็นพื้นที่สนามด้านธรรมศาสตร์ กินอาณาเขตประมาณ 1 ใน 4 ของสนามหลวงทั้งหมด (ขณะนี้พื้นที่ครึ่งหนึ่งของสนามหลวงตั้งเมรุอยู่ เมื่อแบ่งพื้นที่ชุมนุมโดยทางเดินตัดผ่านสนามหลวงที่มีร้านรวงตั้งขายของ ด้านหลังจะเป็นพื้นที่จอดรถของผู้มาร่วมชุมนุม รวมทั้งรถสุขาของกรุงเทพมหานครฯ)

ช่วงเย็น เวทียังไม่เรียบร้อยดีนัก ป้ายผ้าใบฉากหลังเวทียังไม่ได้เอาขึ้น ยังเป็นโครงเหล็กล้วนๆ ช่างเวทีกำลังจัดการกันอยู่ ได้ยินว่าเริ่มตั้งเวทีตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว บนเวทีให้ผู้ดำเนินรายการจำเป็นขึ้นพูดกับผู้ชุมนุมที่เริ่มทะยอยเข้ามาเรื่อยๆ ด้านหลังเวทีมีเต็นท์สำหรับกลุ่มทีมงานที่มาร่วมกันขับเคลื่อนในวันนี้ ด้านขวาเวที

กลุ่มผู้มาชุมนุมกว่า 80% ผมเข้าใจว่ามาโดยตั้งใจมากๆ โดยสังเกตจากการใส่เสื้อ "สีแดง" หรือ "ดำ" มาอย่างค่อนข้างพร้อมเพรียง แต่เป็นแดงแบบของใครของมัน ทั้งนี้สังเกตจากการพูดคุยทั่วไป และกับพ่อค้าแม่ค้าบริเวณนั้น ส่วนใหญ่บ่นถึงความอึดอัดของสถานการณ์การเมือง ที่พันธมิตรก่อความวุ่นวายขึ้น

ขณะที่ผู้คนยังคงเดินทางมาเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เบื้องต้นพวกเขาอาจจะยืนอยู่รอบๆ ด้านข้างและด้านหลัง ต่อมาก็จะซื้อหาผ้าพลาสติกมาปูรองนั่ง ผู้คนเหล่านี้ มีความแตกต่างมากจากการชุมนุมก่อนนี้ กล่าวคือ มีลักษณะของ "ชนชั้นกลาง" ในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น ต่างคนต่างมา เป็นคนหนุ่มสาว วัยกลางคนเพิ่มขึ้นด้วย

ผมตั้งข้อสังเกตเอาเองว่า การที่อัตลักษณ์ของผู้คนดูเหมือนจะมีปริมาณชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น มีสาเหตุจากผู้คนเหล่านี้ อึดอัดจากปัญหาพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาไม่มีช่องทางระบายออก พวกเขาจึงออกมาในวันแรกของการชุมนุมอย่างเข้มข้น แต่อย่างไรก็ตามคนชั้นล่าง ชาวบ้านสามัญยังคงมีจำนวนมากเช่นเดิม

เมื่อเปรียบเทียบมวลชนของสนามหลวงกับพันธมิตร พันธมิตรจะเป็นพวกคนแก่ไฮโซมีฐานะมากกว่า พวกนี้มีเวลาอยู่กับบ้านร้านค้าดูเอเอสทีวี มีลูกจ้างสามารถทิ้งงานเป็นเวลานาน เพื่อร่วมชุมนุมได้ แต่คนชั้นกลางในสนามหลวง มีลักษณะเป็นคนชั้นกลางระดับล่างเยอะกว่ามาก คนเหล่านี้แม้จะเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวร้านค้าต่างๆ แต่ก็เป็นธุรกิจขนาดย่อม ที่ไม่สามารถทิ้งงานได้เป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงมาร่วมชุมนุมได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น แม้ว่าจะมีจำนวนมากที่เป็นฐานสนับสนุนอยู่ก็ตาม

คนรุ่นหนุ่มสาววัยรุ่น ก็มีให้เห็นมากกว่าที่ผมเคยเห็นในสนามหลวงช่วงก่อนๆนี้ แต่ยังมีปริมาณน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น สาวๆ หน้าตาแฉล้มแบบที่เจอกันต้องเหลียวหลัง ก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่น้อย ใช้เวลานานหน่อยก็จะหาเจอ (อิอิ) ดังนั้นหากกลุ่มปัญญาชนนักศึกษา ซึ่งอาจจะมีเวลานอกการเรียน และมีอัตลักษณ์ชนชั้นกลาง ที่จะเชื่อมต่อกับชนชั้นกลางในเมืองอื่นๆ เข้ามาร่วมเพิ่มปริมาณขึ้นในมวลชนเหล่านี้ ก็จะเป็นประโยชน์มาก เพื่อปรับเปรียนอัตลักษณ์ของกลุ่มมวลชน ร่วมหารค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ซึ่งย่อมมีกลุ่มคนหลากหลาย และได้ทางการเมืองภาพลักษณ์ต่อสังคมเพิ่มขึ้น ...เรื่องนี้ซีเรียส หากตัดสินใจจะต้านพันธมิตรรัฐประหาร ผมว่าก็ควรตัดสินใจ กล้าแปดเปื้อนบ้างได้แล้ว!


2.ก่อน 6 โมงเย็น ทางเวทีให้คุณวิภู แถลง 1 ในแกนนำนปก.เก่าที่เข้าคุกพร้อมกันทั้ง 9 คน เป็นผู้ดำเนินเวที คุณวิภูเป็นนักปราศรัยที่มีมุขตลกขบขัน ผสมกับแนวคิดทางการเมืองที่สร้างบรรยากาศ "ประชาธิปไตย" ได้มากทีเดียว เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ข่าวลือในช่วงกลางวัน (ซึ่งผมก็ได้ยินจากวิทยุ) ว่าม็อบนปก. เคลื่อนไปที่บ้านพระอาทิตย์ ... เรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง คุณวิภูบอกว่าขนาดเรายังไม่ทำอะไร มันก็กล่าวหากันแล้ว เรื่องนี้มีการตกลงในเวทีสนามหลวงกันชัดเจนถึงสถานการณ์ว่า พวกพันธมิตรกำลังต้องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้เกิดขึ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของมวลชนสนามหลวง จะไม่ใช้ความรุนแรงแน่นอน และขอให้ผู้ร่วมชุมนุมระวังหากมีการยั่วยุจากอีกฝ่าย (บรรยากาศการป้องกัน การสร้างสถานการณ์จากอีกฝ่าย ดีพอควรครับ มีการตกลงกันชัดเจน)

เมื่อถึงเวลาเคารพธงชาติ คุณวิภูเชิญผู้ร่วมชุมนุมยืนตรงร้องเพลงชาติพร้อมกัน ไม่มีเครื่องขยายเสียงหรือแบ็กกิ้งแทร็คครับ ร้องกันสดๆ ได้บรรยากาศมากครับ เป็นบรรยากาศของมวลชน ที่มาร่วมเรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง เสียงร้องเพลงชาติประสานกันดังพอประมาณ เยียบเย็นแต่สะท้านไปทั่วบริเวณ เรียบร้อย สงบ มั่นคง

ผู้ที่มาร่วมกันเพิ่มขึ้น จนทำให้บริเวณพื้นที่ด้านหน้าเวทีไปจนด้านหลังที่ติดกับร้านค้า และทางเดินผ่านสนามหลวงค่อนข้างเต็ม ตอนแรกนั่งกันแบบมีช่องว่าง แต่พอยิ่งดึกขึ้นพื้นที่นั่ง จะชิดแน่นกันจนเดินค่อนข้างลำบาก งานนี้ รัตนพล ส.อรพิน ก็มาขายบะหมี่อีกเช่นเคย

ผมคิดว่าส่วนที่ขาดไปของเวทีสนามหลวง คือ "สื่อ" ผมไม่เห็นสื่อมาถ่ายทอดเลย อาจจะมีอยู่บริเวณอื่นหรือเปล่าผมไม่ทราบได้ (ผมเดินสำรวจทั่วๆไม่เห็น) แต่คิดว่าอย่างน้อยก็คงมีนักข่าวจากเอ็นบีที นำเสนอภาพอยู่บ้าง แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่า พื้นที่สื่อของมวลชนสนามหลวงยังมีค่อนข้างน้อยมาก แสงไฟสปอต์ไลต์ มีเฉพาะบนเวทีสนามหลวง มวลชนสนามหลวงตอนดึกจะค่อนข้างนั่งกันในที่มืด เมื่อเทียบกับม็อบพันธมิตรแล้ว ฝ่ายพันธมิตรเป็นม็อบไฮโซ อุปกรณ์พร้อมกว่าเยอะครับ เรื่องนี้มีผลต่อการรับรู้และการสร้างบรรยากาศของการอยากเข้าร่วมชุมนุมอยู่เช่นกัน

ระบบป้องกันจากการ์ด มีเพียงบริเวณด้านหลังเวที ซึ่งป้องกันการแทรกซึมจากภายนอก มีการจัดเตรียมการ์ดกันอยู่ หลังเวทีมีแกนนำหลายกลุ่มและผู้ที่จะขึ้นปราศรัยบนเวทีรอต่อคิวกันอยู่

ผู้ปราศรัย จากวิภู แถลงที่ดำเนินรายการ ก็สับเปลี่ยนกันหลายคน หลายคนจัดรายการวิทยุแท็กซี่ กับคลื่นแนวร่วมอื่นๆ ผมไม่ค่อยรู้จักจำชื่อไม่ได้ แต่เห็นว่า ทั้งหมดเป็นผู้ปราศรัยที่ค่อนข้าง "โอเค" มากๆ สำหรับผม กล่าวคือ ไม่หลุดจากคอนเซ็ปต์ เรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านระบอบเผด็จการอำมาตย์เลย ...หลายคน นำอารมณ์ของผู้ชุมนุมได้ดีพร้อมมีมุขตลกขำๆ มาเล่น การยืนยันจากบนเวที ถึงการชุมนุมเพื่อแสดงพลังของมวลชนต่อสังคมภายนอก ว่ามีมวลชนจำนวนมากยังสนับสนุนรัฐบาลจากการเลือกตั้งอยู่ ทั้งนี้มีการแจ้งว่ามวลชนจากต่างจังหวัดจะเข้ามาสมทบในวันต่อๆ ไป เพราะการรวมกลุ่มวันนี้ ค่อนข้างกระทันหัน และด้วยการสไตท์ของสหภาพแรงงานรถไฟ ซึ่งเป้าหมายแท้จริงก็คือ การตัดมวลชนที่เข้ามาสนับสนุนรัฐบาลจากภาคอีสานนั่นเอง

คนที่ขึ้นเวทีปราศรับที่ผมรู้จัก ก็มีนปก.เก่า อย่าง อ.เมธาพันธุ์ , อ.จรัล ดิษฯ , คุณวีระ มุสิกพงษ์, ชูพงษ์ ถี่ถ้วน , ชินวัฒน์ (เหมือนจะขึ้นนะแต่ไม่แน่ใจ) , สก.เขตบางกะปี (ไม่แน่ใจเขต แต่เป็นนักจัดการการ), คุณสมยศ 24 มิ.ย. ฯลฯ รวมทั้งกวี ไม้หนึ่ง ก. กุนที จากมติชนด้วย ผมเพิ่งชมสดก็วันนี้เอง กลุ่มแนวร่วมด้านวัฒนธรรมของเวที นปก. ยังคงมีน้อยและเป็นจุดอ่อนของการเคลื่อนไหว ที่จะดึงมวลชนชั้นกลางเข้าร่วม หากมีแนวร่วมด้านวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าจะเป็นการสร้างพลังได้มากกว่านี้ ใครมีความสามารถด้านนี้น่าจะไปเสนอตัวช่วยหน่อย

รอบๆ เวที มีร้านค้าขายของ จำพวกหนังสือแฉ จำลอง ศรีเมือง , แฉการลอบสังหารทักษิณ, ซีดีทักษิณและการเคลื่อนไหวของนปก. , รวมทั้งโต๊ะขายสติกเกอร์ "เบื่อม็อบพันธมิตร" ของกลุ่มบก.ลายจุดด้วย (บ.ก.ก็อยู่ด้วยเช่นกัน) , สำหรับนักวิชาการนอกจากที่กล่าวไปแล้วบนเวที ด้านล่างวันนี้ ที่ผมรู้จักและเห็นก็มีอยู่บ้างแต่ไม่เอ่ยนามดีกว่า เพราะ อาจารย์เขาอาจจะต้องการเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่า แต่อยากให้ทุกคนรู้ว่า ผู้ออกมาต่อต้านเผด็จการประชาชน+ทุนศักดินา ก็มีหลากหลายครับ

ผมคุยกับพี่คนขับแท็กซี่คนหนึ่ง แกบอกว่าถึงรัฐบาลจะยุบสภา แล้วถามว่า พันธมิตรจะเลิกไหม? แกบ่นอย่างอึดอัดว่า "เราก็ไม่ได้เลือกรัฐบาลมาคนเดียวเสียเมื่อไหร่ คนเขาเลือกกันมาทั้งประเทศ" คนขายลูกชิ้นบ่นว่าเรื่องแก๊สน้ำตาว่า "ทำไมตอนที่ตำรวจใช้หน้าบ้านเปรม ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลย" ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าบ้านเมืองนี้ มันก็พิกลพิกาลอย่างนี้ เพราะไอ้ชนชั้นนำโบราณระยำกลุ่มหนึ่ง

ในช่วง 3 ทุ่ม เป็นเวลาก่อนคุณวีระ จะขึ้นพูด ผมคิดว่าเป็นช่วงพีคสุดแล้ว สำหรับการนับจำนวนผู้ร่วมชุมนุม ผมประเมินคร่าวๆไปแล้วในอีกกระทู้ว่า ไม่น่าจะเกิน 5 พันคน ถ้าให้ระบุชัด ผมก็จะบอกว่า 4 พันคน บวก/ลบ 500 ครับ (ได้ยินเช้านี้ว่า มีสื่อเสนอว่าประมาณ 8 พันคน และผู้ร่วมชุมนุมพูดในรายการวิทยุชุมชนเป็นหลักหมื่น..อันนี้ก็แล้วแต่สายตาครับ แต่ผมว่าเวอร์ไป)

สุดท้ายนะครับ ผมอยากเรียกร้องในฐานะ เสรีชนคนหนึ่ง หลังๆมา ผมมักนิยมการเข้าร่วมกลุ่มชุมนุมในฐานะเสรีชนครับ ผมเรียกร้องให้เพื่อนๆ ในเว็บบอร์ด ปัญญาชน ชนชั้นกลาง ที่มีสถานภาพสังคม มีศักยภาพในด้านเศรษฐกิจและเวลา เข้าร่วมกับฝ่ายที่ยืนยัน "หลักการ" ประชาธิปไตยนี้ ไม่ว่าคุณจะเห็นพวกเขา มองเขาในสายตาต่ำต้อย ลดทอนความเป็นมนุษย์ของพวกเขา จากการมองว่าพวกเขาเป็นเพียง กลุ่มคนรักทักษิณ, คนโง่ , ได้รับผลประโยชน์เฉพาะหน้า ฯลฯ แต่สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องเป็น "เป้าหมาย" ที่ถูกต้องและดีงาม ต่อกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ได้ดัดจริตถอยหลังเข้าคลองแบบชนชั้นกลางจำนวนมากในม็อบพันธมิตร และบรรดานักวิชาการดัดจริตโหนกระแสต่างๆ

พวกเขาต้องการกำลังเสริมจากปัญญาชน เปลี่ยนเคมีของกลุ่มให้มีภาพลักษณ์ในทางคุณภาพของแนวร่วมยิ่งขึ้น พวกคุณอาจช่วยในด้านต่างๆ แก่พวกเขาได้ โดยไม่ต้องขึ้นเวทีก็ตาม เพียงแค่เข้าไปร่วมชุมนุม ให้อัตลักษณ์ของมวลชนมีความหลากหลายของตัวตน สามารถเชื่อมต่อสื่อสารต่อสังคมชนชั้นกลางได้มากขึ้น หรือการผลิตสื่อใบปลิว บทกวี บทความ แจกในท้องสนามหลวง เพื่อเป็นการให้ความรู้แก่ผู้คนเหล่านี้ นี่น่าจะเป็นคุณปการที่พวกเราทำได้ใช่ไหมครับ?

บางครั้ง เราอาจต้องกล้าที่จะแปดเปื้อน ...เพื่อดำรงไว้ในสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้องดีงาม ผมเชื่ออย่างนั้น


โดย คุณHomo erectus
ที่มา บอร์ดฟ้าเดียวกัน
1 กันยายน 2551

คนไทยในอังกฤษ ร่อนจม.สนับสนุนรัฐบาลปราบกบฎ

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่อง สนับสนุนรัฐบาลในการรักษากฎหมาย กติกาประชาธิปไตย และนำพาความสงบสุขกลับคืนสู่สังคมไทย
เรียน พี่น้องประชาชนไทยทุกท่าน

ตามที่มีคณะบุคคลที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รวมตัวชุมนุมเรียกร้องตั้งเงื่อนไขให้รัฐบาลลาออก เสนอแนวทางการเมืองใหม่แบบแต่งตั้ง 70% และเลือกตั้ง 30% โดยสร้างเงื่อนไขการชุมนุมด้วยวิธีการข่มขู่ให้รัฐบาลกระทำตามคำเรียกร้อง โดยใช้ยุทธวิธีที่ละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ต่างกรรม ต่างวาระ อาทิ การปิดถนนสายหลักในเมืองหลวง และต่างจังหวัด การบุกรุกเข้ายึดสถานที่ราชการต่าง ๆ รวมทั้งการบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT การหยุดเดินรถไฟอย่างไม่มีเหตุผลอันสมควร การปิดล้อมสนามบินนานาชาติหลายแห่ง จนกระทั่งการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก ทั้งนี้ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ส่อเค้าลางว่ามีความพยายามยั่วยุให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าวิตกว่าสถานการณ์อาจลุกลามขยายตัวกลายเป็นวิกฤตที่จะดึงสังคมไทยลงสู่ห้วงเหวแห่งความหายนะในที่สุด กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักรเห็นด้วยกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันหลากหลาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ การใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นจะต้องได้รับการคุ้มครอง แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ยึดถือแนวทางการแสดงความคิดอย่างสงบสันติดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เลือกกระทำการเรียกร้องข้อเสนอของตนด้วยการใช้ความสงบสุขของประชาชนเป็นเครื่องมือต่อรอง มีการกระทำอันเป็นการละเมิดกฎหมายต่างกรรม ต่างวาระอย่างต่อเนื่อง ท้าทายอำนาจรัฐ ละเมิดสิทธิของผู้อื่น แม้กระทั่งการท้าทายขัดขืนคำสั่งของศาลยุติธรรม

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักรร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ขอให้กำลังใจรัฐบาล ในการรักษากฎหมาย กติกาประชาธิปไตย และนำความสงบสุขคืนสู่สังคมไทย และขอเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยุติการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย แสดงความเคารพกติกาในระบอบประชาธิปไตย และสิทธิของประชาชนที่มีความคิดแตกต่าง ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่ง ความสมัครสมาน สามัคคีของคนในชาติ และนำพาความสงบสุขกลับคืนมาสู่สังคมไทย

ขอแสดงความนับถือ

วัฒนา เอ็บเบจช์

กลุ่มคนไทยรักประชาธิปไตยในสหราชอาณาจักร
อีเมล์: doublezero1@hotmail.co.uk

การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ....หรือ ซ่องโจร ???








นี่คือหลักฐาน ของการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ

ที่เห็นนี่คืออะไร

แบบนี้เข้าข่ายซ่องสุม ที่จะโดนข้อหา....กบฏต่อแผ่นดินมั๊ย










สำหรับของกลางที่ยึดได้ จากถนนรอบทำเนียบรัฐบาล ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ บก.น.1 นั้น มีทั้งสิ้น18 รายการ ได้แก่

1. ลูกกระสุนปืนขนาด.38 จำนวน 117 นัด
2. ลูกกระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 47 นัด
3. สิ่งเทียมอาวุธปืน(ปืนอัดลม) 1 กระบอก
4. ใบกระท่อมสด 2.2 กิโลกรัม
5. ของเหลวสีน้ำตาล บรรจุขวดพลาสติก ขนาด 100 ซีซี จำนวน 9 ขวด
6. น้ำมันเบนซิน บรรจุขวดเครื่องดื่มชูกำลัง 60 ขวด
7. ไม้กอล์ฟจำนวน 1,558 ด้าม
8. ท่อนเหล็ก 248 ท่อน
9. ไม้ท่อนกลม 185 ท่อน
10.ไม้ท่อนเหลี่ยม 50 ท่อน
11.เสาธงไม้ 48 อัน
12.ดาบและเหล็กแบนปลายแหลม 20 อัน
13.สนับแขน ทำด้วยท่อพีวีซี 27 อัน
14.โล่ทำด้วยไม้อัด 56 อัน
15.หนังสติ๊ก มีด้ามเป็นไม้ 55 อัน
16.ลูกแก้ว และลูกดินปั้น 185 ลูก
17.ถังดับเพลิง 3 ถัง และ
18.โทรโข่ง 2 อัน

ส่วนของกลางที่ยึดได้จากที่สถานที่โทรทัศน์ NBT ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สน.สุทธิสาร มีทั้งสิ้น 34 รายการ ได้แก่

1. ปืนพกแบบออโตเมติกขนาด 0.45 ไม่มีทะเบียน ยี่ห้อสมิตแอนด์เวสสัน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน และกระสุนปืน ขนาด .45 บรรจุอยู่ในซองกระสุนจำนวน 12 นัด
2. ซองกระสุน บรรจุกระสุนปืนขนาด.45 จำนวน 1 อัน
3. ซองปืนหนังแบบพกนอก สีดำ จำนวน 1 ซอง
4. วิทยุสื่อสารยี่ห้อโมโตโลล่า จำนวน 1 เครื่อง
5. แบตเตอรี่ วิทยุสื่อสาร ยี่ห้อโมโตโลล่า 1 อัน
6. หนังสติ๊ก 1 อัน
7. ลูกเหล็กทรงกลม ขนาดเล็กจำนวน 3 ลูก
8. กระสุนปืนขนาด.22 จำนวน 1 นัด
9. กระสุนปืนขนาด.38 จำนวน 5 นัด
10.ก้อนหิน 10 ลูก และลูกเหล็ก 23 ลูก อยู่ในถุงพลาสติก 1 ถุง
11.ปืนพกสั้นออโตเมติก ไม่มีทะเบียน พร้อมซองบรรจุกระสุน 1 ซอง และกระสุนปืนไม่ทราบขนาด 5 นัด
12.หนังสติ๊ก 1 อัน
13.ลูกเหล็กทรงกลม 20 ลูก
14.มีดปลายแหลม พร้อมซองไม้ 1 เล่ม
15.ใบกระท่อม 2 ใบ
16.หนังสติ๊กไม้ 3 อัน
17.ใบกระท่อม 8 ใบ
18.ไม้กระบองสี่เหลี่ยม ยาว 2 ฟุต จำนวน 1 อัน
19.สิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก
20.ปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ไม่มีทะเบียน
21.กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 40 นัด
22.หนังสติ๊ก 5 อัน
23.ลูกเหล็กทรงกลมจำนวน 39 ลูก
24.มีดพกขนาดเล็ก 3 เล่ม
25.มีดดาบ 12 เล่ม
26.ปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก พร้อมกระสุน 2 นัด
27.ไม้กอล์ฟ 8 อัน
28.ขวานด้ามไม้ 2 อัน
29.มีดดาบขนาดยาว 6 เล่ม
30.มีดพกสั้น 11 เล่ม
31.สนับมือ 1 อัน
32.หนังสติ๊กไม้ 8 อัน พร้อมลูกแก้ว 97 ลูก
33.ใบกระท่อม 300 ใบ และ
34.อาวุธมีดพกแบบคมด้านเดียว ใบมีดโค้ง มีสันเป็นหยัก พร้อมซองพกสีดำ 1 เล่ม


โดย คุณ S.kaya / คุณ sky
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
31 สิงหาคม 2551

อารยะสลาย...(ม็อบ)




ไม่ให้ใช้ ความรุนแรง ใครก็เรียกร้องแบบนั้น

องค์กร รักสันติ ผู้หลักผู้ใหญ่ (ไม้หลักปักขี้เลน)
นักการเมืองปากรักประชาธิปไตย (แต่ขยิบตา ให้คนถือปืนเข้ามาล้มระบบ)
ผบ.เหล่าทัพ (ที่ใคร ๆ ก็ว่า เป็นตัวแปร)
พวกนักฉวยโอกาส
ประชาชนคนเดินดิน

ล้วนท่องคาถานี้

แต่ไม่ยักบอก แล้วจะให้จัดการกับ อนารยะขัดขืน อนาธิปไตย ที่ทำตามอำเภอใจ ไม่ยอมรับกฎกติกาทุกชนิด กันอย่างไร

หรือการไม่ใช้ความรุนแรง คือ ปล่อยบ้านเมืองไร้ขื่อแป อย่างที่กำลังเข้าใจผิดกัน ใครใคร่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนฝ่ายอื่น ทำได้ทุกอย่างตามใจชอบ ปิดถนน ปิดสนามบิน ยึดสถานีโทรทัศน์ ยึดสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบรัฐบาล ทำได้ตามอำเภอใจ แบบบ้านป่า เมืองเถื่อน !!!

เวลานี้ ข้อเรียกร้องของ กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ใช่แค่ไล่รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ที่ว่าเป็นหุ่นเชิด และไม่ใช่พรรคนี้มาอีก ไล่อีก หรือแค่เปลี่ยนขั้วการเมือง เอาปชป.มาเป็นรัฐบาล แต่ไปไกลถึงขนาดจะเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง เป็นลากตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 แบบที่ประกาศไว้

การที่สมัครจะลาออก หรือไม่ออก จึงไม่ใช่ประเด็นเลย

สถานการณ์เวลานี้ มาถึงทาง 2 แพร่ง เมื่อ ศาลแพ่ง มีคำสั่ง 22.00 น.วันที่ 27 สิงหาคม ให้ความคุ้มครองชั่วคราว สั่งพันธมิตรฯ รื้อถอนเวที เปิดถนนราชดำเนิน ถนนพิษณุโลก โดยทันที

หลังศาลมีคำสั่ง ขณะที่ ศาลอาญา วันเดียวกัน อนุมัติหมายจับ 9 แกนนำ สนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ สมศักดิ์ โกศัยสุข สุริยะใส กตะศิลา เทิดภูมิ ใจดี ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อมร อมรรัตนานนท์ ข้อหาทำผิด ม.113, 114 และ 216 แรงสุด คือ ม.113 ข้อหากบฏ มีโทษถึงประหารชีวิต

สนธิ ประกาศว่า สามารถอารยะขัดขืนกับศาลได้

สำราญ รอดเพชร ประกาศมาตรการดื้อแพ่งต่อศาล เพื่อปฏิบัติภารกิจกู้ชาติให้สำเร็จ

พล.ต.จำลอง ประกาศบนเวที จะอยู่ให้จับ แต่ตำรวจต้องฝ่าด่านประชาชนเข้ามาเอง (เท่ากับไม่ให้จับ) พร้อมปลุกเร้าให้ยึดทำเนียบ เป็นฐานที่มั่น อย่าออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะแพ้

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่สุด ยอมรับ เป็นตัวตายตัวแทน คนนี้สำคัญ มาเมื่อไหร่ รุนแรงเมื่อนั้น

ตามข่าวล่าสุด มีการเตรียมหลุมพราง น้ำมัน เพื่อ เผาทำเนียบ สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง ยั่วยุให้ทหารออกมา...

แต่ข่าวว่ารัฐบาลก็รู้ทัน สั่งตำรวจห้ามใช้ความรุนแรง และยอมย้าย การจัดงาน “116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ” ไปจัดที่สวนอัมพรแทนทำเนียบรัฐบาล !!!

การไม่ใช้ความรุนแรง ถูกต้อง แต่ไม่ใช่เอามือซุกหีบ ปล่อยบ้านเมืองไร้ขื่อแป !!!

หากต้องสลายม็อบ แบบอารยประเทศ คือ ตำรวจ สวมหมวกกันน็อก ใช้โล่ กระบอง ไม่ใช้ดาบ ปืน หรืออาวุธอื่นใด ใช้รถดับเพลิง ฉีดน้ำ หรือสเปรย์พริกไทย ไล่ผู้ชุมนุมได้

สิ่งเหล่านี้คือการปราบจลาจล ที่อารยประเทศยอมรับกันทั่วโลก

ผ่านจุดนี้ไปได้ โดยทหารไม่ยุ่ง ประชาธิปไตยจะพัฒนาไปอีกขั้น เช่นกัน.

โดย คุณ ดาวประกายพรึก
ที่มา เวบไซต์ เดลินิวส์
30 สิงหาคม 2551

15 กันยายน 2551

คำถามต่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์






หมายเหตุ:หลังจากตำรวจทำท่าจะเข้าควบคุมสถานการณ์ชุมนุมไว้ได้ บรรดาส.ว.(ส่วนใหญ่เป็นส.ว.สรรหา คือทายาทอสูรของคมช.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ นายทหารที่ใกล้ชิดพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้พากันยกพวกมาให้กำลังใจม้อบพันธมิตร แล้วยกพวกไปกดดัน บชน.ให้เลิกใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม

หลังจากนั้นเมื่อตำรวจถูกกดดันให้เลิกควบคุมการชุมนุม ม็อบพันธมิตรก็ตีโต้อย่างฉับพลันทันที โดยยึดพื้นที่ทำเนียบคืนไว้ได้ และรุกคืบยึดพื้นที่มัฆวานคืน รวมทั้งยกพวกไปบุกบชน. และขีดเส้นตายให้ส่งนายตำรวจที่สั่งการควบคุมการชุมนุมมาให้ภายใน 19.00 น. ไม่เช่นนั้นทุกสน.และทั่วกทม.จะลุกเป็นไฟ จากคำขู่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล




บทความต่อไปนี้คือคำถามต่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์,พล.อ.ปฐมพงษ์,ส.ว.สรรหา และนักวิชาการ องค์กรหน่วยงานต่างๆที่เฝ้าประนามฝ่ายรัฐ ทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาลที่ให้ออกหมายจับ9แกนนำผู้ชุมนุม และสั่งสลายการชุมนุมจากทำเนียบ แต่ขณะเดียวกันคนพวกนี้ก็ไม่เคยจะกล่าวประนามการกระทำของพันธมิตรเลยแม้แต่น้อย

ภายหลังจากที่พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย (น่าจะเพื่อการรัฐประหารมากกว่า) ได้ใช้ยุทธการยึด NBT ใส่หน้ากากคล้ายขบวนการซาปาติสต้า ประเทศเม็กซิโก (ถ้ารองผู้บัญชามาร์กอสดูข่าว คงมึนหัวแน่ๆเลย เมื่อพวกขวาอนุรักษ์นิยมนำเอาสัญลักษณ์ความเป็นซ้ายใหม่ไปปรับใช้อย่างมั่วๆหรือเอาเพียงรูปแบบไปใช้มากกว่าเนื้อหา)

การยึดสถานที่ราชการ และการปักหลังยึดทำเนียบเป็นฐานที่มั่น ทำให้กลุ่มองค์กรต่างๆทั้งนักวิชาการ เอ็นจีโอ นักสื่อสารมวลชน บางคนบางองค์กร ที่อ้างว่า “ภาคประชาชน” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ผ่านการสัมภาษณ์ เวทีสัมมนา-อภิปราย จดหมายเปิดผนึก และแถลงการณ์

ผู้เขียนมีความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของผู้อ้างว่าสังกัด “การเมืองภาคประชาชน” บางส่วนดังนี้

1.การยึด NBT ของพันธมิตรฯ ยังมีบางองค์กรมีท่าทีที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังพยายามอ้างว่า มีบางคนไม่ใช่คนของพันธมิตรฯเหมือนสุริยะใส สนธิ ให้ข่าว หรือพยายามที่จะแกล้งบอกให้ดูดีว่า ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อน โดยมีธงในใจอยู่แล้วว่าไม่เกี่ยวพันธมิตรฯ เพราะไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ เพราะ “ถูกเบี้ยว” “ไม่มาตามนัด” และถ้ามาตามนัด อาจจะฉลองใหญ่ถึงการปฏิวัติโดยประชาชนไปแล้ว และคงยกย่องเชิดชูมอบเกียรติยศให้กับผู้เข้ายึด NBT เป็นฮีโร่ เช่นนั้นแน่

2.การพยายามเสนอให้รัฐบาล อย่าใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง สมควรกระทำยิ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่มีความพยายามจะบอกว่าพันธมิตรฯ ต้องหยุดสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง เช่นกัน ไม่ว่าทางคำพูดปราศรัย หรือการเคลื่อนไหวหมิ่นเหม่ต่อการให้เกิดการนองเลือด หรือการนำสู่การรัฐประหารที่เป็นความรุนแรงทางโครงสร้างของฝ่ายใดก็ตาม

3.มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน ต่อการที่เสนอให้รัฐบาลต้องยอมรับสิทธิการชุมนุมอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ และไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 แต่ก็ไม่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่า อย่างไหนเลยเถิดสันติวิธี อารยะขัดขืน ดื้อแพ่ง และเช่นไรไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจนมากกว่าการเล่นคำภาษาไปมา

4.มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสื่อของรัฐโดยเฉพาะ NBT เสนอข่าวลำเอียงทางรัฐบาล แต่กลับไม่เคยตำหนิว่าการเสนอข่าวของ ASTV ปลุกปั่นสร้างข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง เหมือนไม่ได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เช่นกัน ส่วนด้าน TPBS จำเป็นต้องตรวจสอบเช่นกันว่า เสนอข่าวสารข้อมูล เป็นทีวีสาธารณะจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสื่อสารมวลชนอีกแห่งหนึ่งที่ถูกฉวยโอกาสให้รับใช้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวไม่รู้ตัวตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

5.บางองค์กรเลยเถิดไปใหญ่มองว่า พันธมิตรฯ เป็นการเมืองภาคประชาชน ซึ่งถ้าหมายถึงการเคลื่อนไหวนอกระบบรัฐสภาเพื่อตรวจสอบถ่วงดุล ก็อาจจะยอมรับได้แต่ถ้าเคลื่อนไหวเพื่อล้มระบบรัฐสภา เพื่อการเมืองใหม่แบบโควตาอ้อย 70-30 ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลือกผู้ปกครอง แล้วผู้ปกครองมาจากไหนกัน ใครแต่งตั้ง หรือการเสนอให้อภิสิทธิ์ผู้นำฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในระบอบรัฐสภา

หรือเนื้อแท้แล้ว การเมืองภาคประชาชนมีทั้งเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย เพื่ออนุรักษ์นิยม และเพื่อการรัฐประหาร ก็จะได้นิยามกันใหม่ให้ชัดเจนในแวงวงวิชาการ วงการเคลื่อนไหวทั้งหลาย

6.การที่สส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครสส.สอบตก สว.สายคมช. สว.ลากตั้ง อดีต สนช. สสร. ซึ่งล้วนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาล ได้แสดงบทบาททางใดทางหนึ่งในลักษณะสังกัดฝ่ายพันธมิตรฯ ทำไมผู้อ้างว่า สังกัด “การเมืองภาคประชาชน” ไม่มีการแสดงบทบาทตรวจสอบถ่วงดุลย์คนเหล่านี้ด้วยอย่างที่น่าจะกระทำเหมือนตรวจสอบรัฐบาลอย่างเสมอหน้ากัน

7.หรือพวกเขาเหล่านั้น ล้วนสังกัด ไม่ทางใดทางหนึ่ง ของพันธมิตรฯ เพียงแต่ อ้างว่า “การเมืองภาคประชาชน” “เราพวกสองไม่” อย่างนี้ใช่ไหม ที่เขาเรียกกันว่า “ปากกับใจไม่ตรงกัน” หรือ”ปากว่าตาขยิบ” ก็ไม่ต่างกับนักการเมืองพรรคพลังประชาชนที่พวกเขาเกลียดเข้ากระดูกดำ

8.และอย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง ถ้ามองเฉพาะส่วนเฉพาะประเด็น แบบตัดตอนเป็นเรื่องๆ ก็จะไม่สาวได้ถึงว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดมีเป้าชัดเจน เพื่อการเมืองใหม่ หรือ “เผด็จการแบบใหม่” นั้นเอง

โดย สุรีย์ มิ่งวรรณลักษณ์
ที่มา ประชาไท
29 สิงหาคม 2551

ท่องเที่ยวไทยพังพินาศ ฝรั่งเซ็งพันธมิตรปิดสนามบิน บอกไม่มาอีกแล้วเมืองไทย




ท่องเที่ยวไทยพังพินาศ ฝรั่งเซ็งพันธมิตรปิดสนามบิน บอกไม่มาอีกแล้วเมืองไทย แถมจะกลับไปบอกเพื่อนอย่ามาเที่ยวเมืองเถื่อน

นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ตกล่าวว่า ขณะนี้พยายามแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้โดยสาร โดยจะหาทางพาผู้โดยสารที่ลงเครื่องออกจากท่าอากาศยานภูเก็ต อย่างไรก็ตามจากการสอบถามไปทางกลุ่มผู้โดยสารชาวต่างชาติบอกว่าจะไม่กลับมาเที่ยวอีกและจะกลับบอกเพื่อนๆที่ต้องการมาเที่ยวที่ภูเก็ตประเทศไทยว่าไม่ต้องมาแล้วด้วย






นักท่องเที่ยวต่างชาติ ลั่น จะไม่มาไทยอีก


สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานข่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตกค้างที่สนามบินภูเก็ตจำนวนมาก ลั่น จะกลับไปบอกเพื่อน ๆ ไม่ให้กลับมาประเทศไทยอีก หลังต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์กลุ่มพันธมิตร ส่งกำลังบุกยึด

ความคืบหน้าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรบริเวณทางเข้าออกสนามบินภูเก็ต ขณะนี้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้กระจายกันไปปิดทางเข้าออกสนามบินภูเก็ตครบทุกจุดแล้วยังได้บุดเข้าไปภายในอาคารเอนกประสงค์ท่าอากาศยานภูเก็ตด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตกค้างอยู่ที่สนามบินภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้โดยสารที่เป็นคนไทยที่สต้องการเดินทางออกไปต่างจังหวัดก็ได้แจ้งยกเลิกเที่ยวบินไปบ้างแล้ว

นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ตกล่าวว่า ขณะนี้พยายามแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้โดยสาร โดยจะหาทางพาผู้โดยสารที่ลงเครื่องออกจากท่าอากาศยานภูเก็ต อย่างไรก็ตามจากการสอบถามไปทางกลุ่มผู้โดยสารชาวต่างชาติบอกว่าจะไม่กลับมาเที่ยวอีกและจะกลับบอกเพื่อนๆที่ต้องการมาเที่ยวที่ภูเก็ตประเทศไทยว่าไม่ต้องมาแล้วด้วย

สนามบินหาดใหญ่-ภูเก็ตยกเลิกทุกเที่ยว
นักท่องเที่ยว ตกค้างที่สนามบินหาดใหญ่ จำนวนมาก หลังมีการประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดในวันนี้ จากเหตุพันธมิตรยกกำลังพลนับพันเข้ายึด

สนามบินหาดใหญ่ประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดที่จะออกจากสนามบินหาดใหญ่แล้ว หลังจากที่มีการรวมตัวชุมนุมปิดทางเข้า-ออก สนามบินหาดใหญ่ทุกประตู ส่งผลให้ผู้โดยสารไม่สามารถเข้าสนามบินได้ และมีผู้โดยสารตกค้างเป็นจำนวนมาก เพราะมีเที่ยวบินออกจากหาดใหญ่หลังจากนี้อีก 4 เที่ยวบิน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ชุมนุมขณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 1,000 คน โดยทางแกนนำประกาศว่าจะชุมนุมยืดเยื้อไปจนถึงเวลาประมาณ 21.00น.คืนนี้ ซึ่งเป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่จะขึ้นบินจากหาดใหญ่ นอกจากนี้ ทางแกนนำยังได้ประกาศชัยชนะในเบื้องต้น ที่สามารถปิดสนามบินได้สำเร็จ


โดย สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น
29 สิงหาคม 2551

กบฎสนธิลิ้มหลุดปากมีไอ้โม่งบงการ แต่ตอนนี้หัวเน่าขอสู้โดดเดี่ยว





สนธิลิ้มหลุดปาก ใช้ประชาชนลุกฮือปฏิวัติให้ชนะเอง ไม่ยอมให้ไอ้โม่งคนไหนบงการต่อไปแล้ว นิสิตนักศึกษาจุฬา-ธรรมศาสตร์ออกแถลงร่วมกันประนามพันธมิตรทำลายประชาธิปไตย เข้าข่ายก่อการกบฎ วอนนักศึกษาประชาชนอย่าเข้าร่วมมือ


วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลาประมาณ 13.40 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนจากต่างจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ รีบเข้ามาสมทบกับพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

“วันนี้เป็นวันตัดสิน เราต้องสร้างประชาภิวัฒน์ให้สำเร็จ และเราต้องสู้ด้วยตัวเอง เราจะไม่ยอมให้ใครมาบงการได้อีกต่อไป และวันนี้เราต้องชนะ พี่น้องต้องชนะ” นายสนธิ ระบุ

กปก.-อมธ. เรียกร้องพธม.ยุติการเคลื่อนไหว
ที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายธีระนัย จารุวัสตร์ ตัวแทนกลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก (กปก.) และนายรักษ์นิรันดร์ ชูสกุล ประธานฝ่ายการเมือง องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ประณามการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากเห็นว่า เป็นคณะก่อการเคลื่อนไหว ทำลายระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แกนนำพันธมิตรฯ ใช้การปฏิบัตินอกกฎหมาย เข้าข่ายกบฏ ทั้งต่อรัฐและวิถีทางประชาธิปไตย ตลอดจนแกนนำพันธมิตรฯ มีการปลุกระดม ใช้ข้อมูลเท็จ กล่าวหาป้ายสี ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงในการปราบปราม ไม่ได้ใช้หลักการ “อารยะขัดขืน” และ “สันติวิธี” ตามที่กล่าวอ้างมาโดยตลอด

ในนามของกลุ่ม กปก. และ อมธ. ขอเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการยั่วยุ ปั่นป่วน โดยยืนยันว่า การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นการออกมาโดยอิสระของกลุ่มนิสิต นักศึกษา ไม่ได้เป็นเครื่องมือของใคร และไม่กลัวที่จะถูกพันธมิตรฯ ป้ายสี ว่าเป็นลิ่วล้อของคนที่อยู่ประเทศอังกฤษ อีกทั้งขอให้เพื่อนนิสิต นักศึกษา ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้าน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้ใดต้องการเข้าเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯสามารถทำได้ แต่หากมีการกระทำที่ล้ำเส้นของการแสดงออกอย่างสันติ ควรรีบถอนตัว เพื่อความปลอดภัย

กลุ่มยุติธรรมไทย ยื่นศาลปกครองสูงสุด พิจารณายุติการออกอากาศ ASTV
























29 สิงหาคม 2551 เวลา 11.00 น.กลุ่มยุติธรรมไทย
ได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้พิจารณายุติการออกอากาศของ ASTV
โดยคำร้องมีรายละเอียดดังนี้

===============================

เรื่อง ขอให้ศาลปกครองสูงสุด พิจารณายุติการออกอากาศของ ASTV

กราบเรียน ประธานศาลปกครองสูงสุด

สิ่งที่ส่งมาด้วย
1. สำเนาหนังสือเดลินิวส์ ฉบับที่ 21504 วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551
2. สำเนาหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับที่ 11128 วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551

ตามที่หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับที่ 21504 วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2551 ได้ลงคำให้สัมภาษณ์ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)สรุปความได้ว่า พลตรีจำลอง มีความกังวลว่า หากถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตามคำสั่งของศาลอาญา เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2551 ASTV จะไม่มีเงินรายได้มาจ่ายให้กับพิธีกร ดารา และเจ้าหน้าที่เทคนิค โดยพลตรีจำลองได้อธิบายว่า ASTV มีความสำคัญต่อ พธม.มากเพราะเป็นสื่อหลักในการสื่อสารปลุกระดมการชุมนุมมาแต่เริ่มต้น และพลตรีจำลองยังได้ยืนยันอีกด้วยว่า พธม.เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในการดำเนินการของ ASTV และยังได้กล่าวว่า หากถูกจับกุม ก็จะโอนเงินรายได้ที่มีผู้อุปถัมภ์และประชาชนได้บริจาคให้ พธม. ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการออกอากาศของ ASTV (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1)

บัดนี้ ศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับแกนนำ พธม.9 คน ประกอบด้วย

1. นายสนธิ ลิ้มทองกุล
2. พลตรีจำลอง ศรีเมือง
3. นายพิภพ ธงไชย
4. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
5. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
6. นายสุริยะใส กตะศิลา
7. นายอมร อมรรัตนานนท์
8. นายไชยวัฒน์ สินสุวงส์
9. นายเทิดภูมิ ใจดี

ว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 113, 114, 215 และ 216 ในข้อหากบฏ อันเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามคำฟ้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งได้ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 9 ได้ร่วมกับพวกกระทำการระดมประชาชนผ่านสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV โจมตีรัฐบาลและบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ประชาชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง มาร่วมชุมนุมกับผู้ต้องหา ทั้ง 9 ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2551 นำมาซึ่งความวุ่นวายในบ้านเมือง เกิดการกระทำที่ไม่เคารพต่อกฏหมายบ้านเมือง มีการบุกรุกสถานที่ราชการหลายแห่ง อาทิ ทำเนียบรัฐบาล มีการบุกรุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT เป็นต้น และได้บังคับขืนใจให้พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ การกระทำดังกล่าวทั้งหมดได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างยิ่ง (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2)

ยิ่งไปกว่านั้น ในคืนวันที่ 27 สิงหาคม 2551 กลุ่ม พธม.ยังได้ใช้สถานีโทรทัศน์ ASTV ออกอากาศให้ประชาชนทั่วประเทศ ขัดขืนคำสั่งของศาลอาญา ในเรื่องการจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรทั้ง 9 คน และคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่ง ที่ได้มีคำสั่งให้ พธม.และประชาชนที่มาร่วมชุมนุม ออกจาทำเนียบรัฐบาลโดยทันทีอีกด้วย

จึงเห็นได้ชัดเจนว่า ในขณะนี้ ASTV คือเครื่องมือของกลุ่มพันธมิตร ที่ใช้ต่อต้านอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการของประเทศไทย ถือได้ว่า เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย เป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง หากไม่แก้ไข ประเทศไทยและสังคมไทย ก็อาจจะวิบัติได้

บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า การที่ศาลปกครองได้ให้การคุ้มครองชั่วคราวกับ ASTV ให้สามารถออกอากาศได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความแตกแยก และมีทัศนคติที่เกลียดชังกัน จนนำไปสู่การไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง หากปล่อยปละละเลยโดยอ้างข้อจำกัด และกฏหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้ว่า ท่านและคณะ เป็นส่วนสำคัญของปัญหา

ดังนั้นพวกข้าพเจ้า จึงใคร่ขอท่านและคณะ ได้ใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาให้ ASTV หยุดการออกอากาศเสียโดยทันที เพื่อเป็นการรักษาประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน ได้สามารถอยู่รอดปลอดภัย และดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม อีกทั้งท่าน ก็จะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงได้ว่า มีความหวังดีต่อบ้านเมือง

ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้าและคณะหวังว่า สถาบันศาลปกครองจะเป็นเครื่องมือ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรมของประเทศ มิใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ดังที่ผู้คนหลายฝ่ายได้เข้าใจอีกต่อไป

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
กลุ่มยุติธรรมไทย

โดย ศูนย์ข่าว thaiEnews
29 สิงหาคม 2551

กองทะเบียนประวัติอาชญากรออกหมายจับกบฎพันธมิตร







คำถามแทงใจดำถึงนักวิชาการ,องค์กรต่างๆที่อ้าขาผวาปีกป้องกบฎพันธมิตร





ภายหลังจากที่พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย (น่าจะเพื่อการรัฐประหารมากกว่า) ได้ใช้ยุทธการยึด NBT ใส่หน้ากากคล้ายขบวนการซาปาติสต้า ประเทศเม็กซิโก (ถ้ารองผู้บัญชามาร์กอสดูข่าว คงมึนหัวแน่ๆเลย เมื่อพวกขวาอนุรักษ์นิยมนำเอาสัญลักษณ์ความเป็นซ้ายใหม่ไปปรับใช้อย่างมั่วๆหรือเอาเพียงรูปแบบไปใช้มากกว่าเนื้อหา)

การยึดสถานที่ราชการ และการปักหลังยึดทำเนียบเป็นฐานที่มั่น ทำให้กลุ่มองค์กรต่างๆทั้งนักวิชาการ เอ็นจีโอ นักสื่อสารมวลชน บางคนบางองค์กร ที่อ้างว่า “ภาคประชาชน” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ผ่านการสัมภาษณ์ เวทีสัมมนา-อภิปราย จดหมายเปิดผนึก และแถลงการณ์




ผู้เขียนมีความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของผู้อ้างว่าสังกัด “การเมืองภาคประชาชน” บางส่วนดังนี้

1.การยึด NBT ของพันธมิตรฯ ยังมีบางองค์กรมีท่าทีที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังพยายามอ้างว่า มีบางคนไม่ใช่คนของพันธมิตรฯเหมือนสุริยะใส สนธิ ให้ข่าว หรือพยายามที่จะแกล้งบอกให้ดูดีว่า ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ดีก่อน โดยมีธงในใจอยู่แล้วว่าไม่เกี่ยวพันธมิตรฯ เพราะไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ เพราะ “ถูกเบี้ยว” “ไม่มาตามนัด” และถ้ามาตามนัด อาจจะฉลองใหญ่ถึงการปฏิวัติโดยประชาชนไปแล้ว และคงยกย่องเชิดชูมอบเกียรติยศให้กับผู้เข้ายึด NBT เป็นฮีโร่ เช่นนั้นแน่

2.การพยายามเสนอให้รัฐบาล อย่าใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นจุดยืนที่ถูกต้อง สมควรกระทำยิ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่มีความพยายามจะบอกว่าพันธมิตรฯ ต้องหยุดสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง เช่นกัน ไม่ว่าทางคำพูดปราศรัย หรือการเคลื่อนไหวหมิ่นเหม่ต่อการให้เกิดการนองเลือด หรือการนำสู่การรัฐประหารที่เป็นความรุนแรงทางโครงสร้างของฝ่ายใดก็ตาม

3.มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน ต่อการที่เสนอให้รัฐบาลต้องยอมรับสิทธิการชุมนุมอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ และไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 แต่ก็ไม่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่า อย่างไหนเลยเถิดสันติวิธี อารยะขัดขืน ดื้อแพ่ง และเช่นไรไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจนมากกว่าการเล่นคำภาษาไปมา

4.มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสื่อของรัฐโดยเฉพาะ NBT เสนอข่าวลำเอียงทางรัฐบาล แต่กลับไม่เคยตำหนิว่าการเสนอข่าวของ ASTV ปลุกปั่นสร้างข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง เหมือนไม่ได้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เช่นกัน ส่วนด้าน TPBS จำเป็นต้องตรวจสอบเช่นกันว่า เสนอข่าวสารข้อมูล เป็นทีวีสาธารณะจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสื่อสารมวลชนอีกแห่งหนึ่งที่ถูกฉวยโอกาสให้รับใช้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวไม่รู้ตัวตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

5.บางองค์กรเลยเถิดไปใหญ่มองว่า พันธมิตรฯ เป็นการเมืองภาคประชาชน ซึ่งถ้าหมายถึงการเคลื่อนไหวนอกระบบรัฐสภาเพื่อตรวจสอบถ่วงดุล ก็อาจจะยอมรับได้แต่ถ้าเคลื่อนไหวเพื่อล้มระบบรัฐสภา เพื่อการเมืองใหม่แบบโควตาอ้อย 70-30 ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลือกผู้ปกครอง แล้วผู้ปกครองมาจากไหนกัน ใครแต่งตั้ง หรือการเสนอให้อภิสิทธิ์ผู้นำฝ่ายค้านเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในระบอบรัฐสภา

หรือเนื้อแท้แล้ว การเมืองภาคประชาชนมีทั้งเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย เพื่ออนุรักษ์นิยม และเพื่อการรัฐประหาร ก็จะได้นิยามกันใหม่ให้ชัดเจนในแวงวงวิชาการ วงการเคลื่อนไหวทั้งหลาย

6.การที่สส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครสส.สอบตก สว.สายคมช. สว.ลากตั้ง อดีต สนช. สสร. ซึ่งล้วนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ รัฐบาล ได้แสดงบทบาททางใดทางหนึ่งในลักษณะสังกัดฝ่ายพันธมิตรฯ ทำไมผู้อ้างว่า สังกัด “การเมืองภาคประชาชน” ไม่มีการแสดงบทบาทตรวจสอบถ่วงดุลย์คนเหล่านี้ด้วยอย่างที่น่าจะกระทำเหมือนตรวจสอบรัฐบาลอย่างเสมอหน้ากัน

7.หรือพวกเขาเหล่านั้น ล้วนสังกัด ไม่ทางใดทางหนึ่ง ของพันธมิตรฯ เพียงแต่ อ้างว่า “การเมืองภาคประชาชน” “เราพวกสองไม่” อย่างนี้ใช่ไหม ที่เขาเรียกกันว่า “ปากกับใจไม่ตรงกัน” หรือ”ปากว่าตาขยิบ” ก็ไม่ต่างกับนักการเมืองพรรคพลังประชาชนที่พวกเขาเกลียดเข้ากระดูกดำ

8.และอย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง ถ้ามองเฉพาะส่วนเฉพาะประเด็น แบบตัดตอนเป็นเรื่องๆ ก็จะไม่สาวได้ถึงว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดมีเป้าชัดเจน เพื่อการเมืองใหม่ หรือ “เผด็จการแบบใหม่” นั้นเอง


โดย สุรีย์ มิ่งวรรณลักษณ์
ที่มา ประชาไท
29 สิงหาคม 2551

จะหวังให้ 'ไพร่ทาส' สู้เพื่อเสรีภาพของ 'เสรีชน' นั้น เป็นไปไม่ได้




















คนเป็นไพร่ทาส ก็เพราะมีสันดานและจิตสำนึกแบบไพร่ทาส ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไพร่ทาส เติบโตมาอย่างไพร่ทาส
คนพวกนี้ ทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือ ทำตามคำสั่งของนาย และคอยเออออห่อหมกกับนาย
ต่อให้นายของตัวกระทำผิด เลวทรามเพียงใด ไพร่ทาสก็ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง
คนพวกนี้จะกล้าดี ก็เฉพาะกับคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับนายของตัว แต่กับนายของตัวหรือคน ของนายของตัว ไพร่ทาสมันจะเหงื่อตก ก้มหน้าด้วยความกลัว

คนพวกนี้แม้กระทั่งถูกนายดุด่า โบยตี อย่างไร้เหตุผลและไม่เป็นธรรม แต่ด้วยจิตสำนึกไพร่ทาส ที่ฝังลึกในกมลสันดาน มันก็จะก้มหน้า รับแต่โดยดี ไม่เคยแม้แต่จะนึกตั้งคำถามว่า ถูกดุด่าโบยตีด้วยข้อหา ที่เป็นธรรม ถูกต้อง หรือไม่
นั่นเพราะสันดานไพร่ทาส พอเห็นนายมอง ไปที่แส้หวายแค่นั้น มันก็เหงื่อแตก ตัวสั่นงันงก ก้มลงไหว้ปะหลก ๆ ร้องขอความเมตตาเสียงหลง

เสรีชนนั้น มีเสรี เพราะในจิตสำนึกและกมลสันดาน มีความเชื่อหยั่งลึก และไม่สงสัยเลยว่า "คนเรานั้นเท่ากัน"
สถานะ นาย กับ ลูกน้อง เป็นเรื่องของการงาน ที่ต้องมีลำดับชั้น ก็เพื่อไปบรรลุวัตถุประสงค์ของงาน ไม่ใช่เรื่องดีเอ็นเอ
เสรีชน จึงยึดเอาความถูกต้องเป็นธรรมเป็นหลักการ
สำคัญที่สุด จุดจบของคนที่มีจิตสำนึกไพร่ทาส มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่รับใช้ นายจนตัวตาย ก็ต้องตายเพราะถูกนายเฆี่ยนตี
คนอย่างนี้ เวลาตาย ไม่มีใครเขาสังเวชให้ แม้แต่นายมัน ก็ยังไม่หันมาดู เพราะเป็นการตายของไอ้ไพร่ไร้ราคาคนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องนี้สอนให้เสรีชนรู้ว่า มีแต่เสรีชนด้วยกันเท่านั้น ที่จะสู้เพื่อเสรีชน ด้วยกัน จะหวังให้ ไพร่ทาส มันมาสู้เพื่อเสรีภาพของเสรีชนนั้น เป็นไปไม่ได้

โดย Pichit Likitkijsomboon
29 สิงหาคม 2551