15 กันยายน 2551

กบฎเหิมใส่ศาล "ภูวดล"กุ๊ยกระชากนักข่าวหญิงร่วง




ศาลแพ่งไม่รับคำขอทุเลาการบังคับคดี สั่งพันธมิตรฯต้องออกไปจากทำเนียบรัฐบาลทันที พร้อมติดป้ายห้ามเข้าทำเนียบฝ่าฝืนคำสั่งศาลมีโทษ ผู้ต้องหากบฎสุริยะใสขึ้นเวทีวิจารณ์ทันควันอ้าง2มาตรฐานไม่ยอมย้ายออก ขณะที่สื่อมวลชนงานเข้าของจริง"คุกคามสื่อคือคุกคามประชาชน"ทั้งด่าทอหยาบคาย "ภูวดล"ทิ้งคราบศาสตราจารย์สวมบทถ่อย กระชากนักข่าวสาวค่ายมติชนร่วง สมาคมสื่อยังเงียบเฉย

ติดป้ายห้ามเข้าทำเนียบ ฝืยผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำแผงเหล็กติดป้ายผ้าระบุข้อความตัวใหญ่สีแดงว่า "ห้ามเข้าตามคำสั่งศาลผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย" จำนวน 5 อัน ขึ้นรถกระบะเพื่อนำไปติดตั้งไว้ตามจุดต่าง ๆ โดยรอบทำเนียบรัฐบาลตามคำสั่งของ พ.ต.อ.วิชาญ บริรักษ์กุล รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 หลังศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ผู้ชุมนุมยังไม่ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ได้มีสื่อมวลชนจำนวนมากไปสังเกตการณ์การติดตั้งแผงเหล็กดังกล่าวด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุความวุ่นวาย หากกลุ่มพันธมิตรไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตั้ง

ศาลแพ่งไม่รับอุทธรณ์สั่งพันธมิตรออกจากทำเนียบท้นที
ก่อนหน้านี้ศาลแพ่งมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี ตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย้ายผู้ชุมนุมออกไปจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และเปิดการจราจร แต่อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไว้พิจารณา และนัดฟังคำสั่งในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

เมื่อเวลา 15.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลแพ่ง ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คดีที่นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมืองกับพวกรวม6คน เป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับ ฐานละเมิด และฟ้องขับไล่ โดยศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้จำเลย และกลุ่มผู้ชุมนุม ออกจากทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งรื้อถอนเวทีปราศรัย และสิ่งปลูกสร้าง ออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยคำสั่งให้มีผลทันที

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายเมธี ใจสมุทร ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม6คน เป็นจำเลยร่วมกัน ฐานละเมิด และฟ้องขับไล่ เพื่อขอให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาล ต่อมาเวลา 16.30 น.ได้มีคำสั่งว่า หลังศาลได้พิเคราะห์คำร้องของทนายความโจทก์แล้ว เห็นว่า จำเลยทั้ง 6 และกลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่ได้ออกจากพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาล จึงให้ตั้งพนักงานบังคับคดี เพื่อไปดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับกระบวนการตั้งพนักงานบังคับคดีต่อจากนี้ไป ศาลก็จะส่งหมายไปยังกรมบังคดี เพื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ไปประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คือ ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป

นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีคงจะออกประกาศของกรมบังคับคดีไปปิดประกาศที่หน้าทำเนียบรัฐบาลไม่ทันในเย็นวันนี้ (28 ส.ค.) แต่หากเจ้าพนักงานปิดประกาศแล้ว ผู้ชุมนุมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ถ้ายังฝ่าฝืน สำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นโจทก์ จะต้องร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อร้องต่อศาลแพ่งขอให้ออกหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ อีกครั้ง

ยะใสเหิมละเมิดคำสั่งศาลวิจารณ์2มาตรฐาน
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าววิพากษ์วิจารณ์ คำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินของศาลแพ่งที่ให้พันธมิตรฯออกไปจากทำเนียบรัฐบาล ว่า อยากให้นำคดีนี้ไปเทียบเคียงกับกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ฟ้องในลักษณะเดียวกันเมื่อครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯไปชุมนุมบริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ แต่ศาลแพ่งในขณะนั้น กลับระบุว่าไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลแพ่งและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่ในครั้งนี้ ศาลแพ่งกลับออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ตนอยากตั้งคำถามว่าเป็นสองมาตรฐานใช่หรือไม่เขายังกล่าวอีกว่า ขอให้จับตาดูในคืนนี้ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดโดยเฉพาะจากคนในอำนาจรัฐด้วยกันเอง

ผู้สื่อข่าวรายบรรยากาศการชุมนุมว่า มีผู้ชุมนุมจำนวนมากทั้งในเขตทำเนียบและบริเวณโดยรอบโดยพันธมิตรได้เข้มงวดกับคนที่เข้ามาร่วมชุมนุมในบริเวณทำเนียบโดยจัดให้มีทางเข้า-ออกเพียงทางเดียวเท่านั้นและมีการตรวจค้นอาวุธอย่างเข้มงวด

คุกคามสื่อต่อเนื่อง "ภูวดล"กระชากนักข่าวหญิงร่วง
ขณะเดียวกันมติชนรายงานข่าวว่า พันธมิตรฯตะเพิดสื่อ ด่าหยาบคาย ไม่ให้ทำข่าว "ภูวดล"กร่าง กระชากนักข่าวสาวมติชน แถมเรียกการ์ดให้ลากออกไป "สนธิ-พิภพ" รุดเคลียร์ พร้อมกันนักข่าวสาวออกจากพื้นที่ เกรงได้รับอันตราย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม หน่วยรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สร้างแนวป้องกันด้วยยางรถยนต์ ที่ประตู 9 ฝั่งสะพานอรทัย พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์ต่างๆเพื่อสกัดกั้นตำรวจทั้ง เหล็กแป๊ป ไม้พลอง หนังสะติ๊ก ก้อนหิน ซึ่งทันทีที่รถตู้ตำรวจ และรถ 6 ล้อ สำหรับคุมขังนักโทษ ประมาณ 20 คัน เคลื่อนผ่านฝั่งตรงข้ามวัดโสมนัส ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้โห่ร้อง โดยระหว่างนั้นผู้สื่อข่าว 3 คน ประกอบด้วยนายมนตรี จิรพรพนิต หนังสือพิมพ์ข่าวสด นายสุทธา พิมาลัย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และน.ส.ศศินภา วัฒนวรรณรัตน์ หนังสือพิมพ์มติชน ที่ขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บริเวณทางเชื่อมอาคารบัญชาการ 1 และ 2 ได้ถูกการ์ดพันธมิตรฯไล่ลงข้างล่างให้หมด

ทำให้ผู้สื่อข่าวทั้งสาม ได้ชี้แจง พร้อมกับโชว์บัตรประจำตัวผู้สื่อข่าวว่าเป็นสื่อมวลชน ขอสังเกตการทำหน้าที่รายงานตรงจุดนี้ ทางการ์ดพันธมิตรฯบอกว่า ไม่สนเพราะกลัวว่าจะเป็นนปก.ปลอมตัวมา ถ้าไม่ลงจะใช้หนังสติ๊กยิง จากนั้นได้มีรปภ.ของพันธมิตรฯ 2 คนขึ้นมาเชิญตัวลงไป แต่ผู้สื่อข่าวได้ยืนยันว่า จะขอสังเกตการณ์ต่อไปโดยยืนยันว่าสามารถดูแลตัวเองได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เจรจากับการ์ดพันธมิตรฯเป็นที่เรียบร้อย ปรากฎว่า นายภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นมายังบริเวณดังกล่าวด้วยอาการเกรี้ยวกราด พร้อมกับชี้หน้าไล่ผู้สื่อข่าวให้ลงไปด้านล่าง และด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยไม่ฟังคำชี้แจงใดๆ รวมทั้งได้กระชากตัว น.ส.ศศินภา อย่างรุนแรง ทำให้เพื่อนนักข่าวอีกสองคน ต้องเข้าไปกันเอาไว้พร้อมกับบอกว่า ทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม เพราะน้องเป็นนักข่าวผู้หญิง จนทำให้น.ส.ศศินภา ร้องไห้ด้วยความตกใจในท่าทีของนายภูวดล ซึ่งนายภูวดล ได้เอ่ยปากขอโทษ แต่ก็ขู่ว่าจะลงดีๆหรือไม่ ถ้าไม่ลงจะตามรปภ.มาไล่ให้ลงไป เพราะมันอันตราย ผู้สื่อข่าวทั้งสามจำเป็นต้องลงมาด้านล่าง ซึ่งนายภูวดล ตะโกนสั่งทีมรปภ.ไล่หลังว่า "ให้เอาพวกมันลงไป"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้นกลุ่มพันธมิตรประมาณ 10 กว่าคนกรูกันขึ้นไปชั้นบน โดยมีหญิงกลางคน ตะโกนใส่หน้าผู้สื่อข่าวว่า เอาลงไปเลย และขณะที่กลุ่มผู้สื่อข่าวเดินลงจากชั้นสอง กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านล่างพากันตะโกนไล่ กระทั่งเพื่อนผู้สื่อข่าวที่ทราบเรื่องต้องมาช่วยกันพากลับเข้าห้องผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบ แต่ก็มีมวลชนจากพันธมิตรฯฮือมาล้อมที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล จนผู้สื่อข่าวต้องขอร้องให้การ์ดพันธมิตรฯมาช่วยรักษาความปลอดภัย และได้ปิดประตูล็อคกลอนทุกด้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้แจ้งให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแจ้งว่า น.ส.ศศินภา ต้องการจะกลับบ้านแต่รถของบริษัท จอดอยู่บริเวณที่เกิดเรื่องเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย นายสนธิได้อาสาพาตัวน.ส.ศศินภา ไปส่งขึ้นรถกลับบ้าน

จากนั้นนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯได้มาเจรจากับผู้สื่อข่าว ที่รังนกกระจอกใหม่ โดยนายพิภพได้กล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บางคน ที่ทำให้เกิดปัญหา ยอมรับว่า มีการ์ดบางส่วนไม่เข้าใจว่า นักข่าวที่ติดบัตรสื่อมวลชนต้องการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น จึงขอให้การ์ดเข้าใจและปฏิบัติตัวกับนักข่าวที่มีบัตรสื่อมวลชนอย่างให้เกียรติ ก่อนที่จะมีการกล่าวหาใดๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะการ์ดเกรงว่า จะมีฝ่ายตรงข้ามแฝงตัวมากับนักข่าว ดังนั้น หากมีปัญหาในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอให้ติดต่อกับแกนนำได้ 24ชั่วโมง จะแก้ปัญหาให้ทันที แต่รับประกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่า เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะการ์ดมีหลายประเภท แต่รับปากว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้

ทั้งนี้ ทางผู้สื่อข่าวได้ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯกรุณาให้สื่อมวลชนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย และให้เกียรติในการทำงาน เพราะผู้สื่อข่าวปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ขอให้ความคุ้มครองสื่อเพราะไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ

การ์ดพธม.เกือบลุยนักข่าวอีก อ้างล้าเพราะอดนอน
ขณะเดียวกัน เวลา 15.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า กำลังเดินสังเกตการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณแยกมิสกวัน ได้มีชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำให้ นายชัยรัตน์ต้องเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ชายคนดังกล่าวกลับไปยอมหยุดต่อว่า นายชัยรัตน์จึงแสดงบัตรสื่อมวลชนให้ดู ทว่ากลับทำให้ชายคนดังกล่าวเกรี้ยวกราดมากขึ้น และปรี่เข้ามาจะทำร้าย แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ได้เข้ามาห้ามปราม และพยายามพูดคุยนานกว่า 15 นาที ชายคนดังกล่าวจึงสงบลง และยอมขอโทษแต่โดยดี พร้อมชี้แจงว่า เนื่องจากไม่ได้นอนหลายวันติดต่อกัน ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า และกดดัน คิดว่า นายชัยรัตน์เป็นตำรวจแฝงตัวมาหาข่าว ประกอบกับเกิดกระแสข่าวว่า จะมีบุคคลที่ 3 แฝงตัวมาก่อความวุ่นวาย จึงแสดงอาการดังกล่าว

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 สิงหาคม 2551

ไม่มีความคิดเห็น: